
ช่วงกลางปี 2561 ตั้งใจจะไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทริปนี้ จัดแจงชวนเพื่อนๆ ไปตะลุยญี่ปุ่นในช่วงปลายปีกัน ถือโอกาสบันทึกรายละเอียดการจอง พร้อมบันทึกการเดินทางไว้ เผื่อเป็นข้อมูลสำหรับใครๆ ที่อยากไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าคนไทยได้รับโอกาสที่ดีในการได้รับการยกเว้นการทำวีซ่าท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นได้นานถึง 15 วัน ทำให้เราสามารถวางแผนการเดินทางได้สะดวกขึ้นมาก อยากเจอหนาวๆ เจอหิมะ ก็แค่บินไป 6 ชั่วโมง อยากดูใบไม้แดงก็ได้เจอแน่นอน ซึ่งหลายๆ อย่างที่เราไม่ได้พบเจอในบ้านเราก็เจอได้ที่ญี่ปุ่น ดังนั้น การวางแผนการเดินทางนั้นมีความสำคัญมาก ช่วยให้เราไม่พลาดสิ่งทีตั้งใจ อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากอีกด้วย
เรามาดูกันว่า เราต้องเตรียมความพร้อมอะไรกันบ้าง
ภูมิภาคและช่วงเวลาชมใบไม้เปลี่ยนสี
ภูมิภาคคันไซ - เหตุหลที่เลือกไปเที่ยวชมยังภูมิภาคนี้ เนื่องจากเมื่อ 5 ปีที่แล้วมีโอกาสมาเที่ยวคันไซกับทัวร์ชมซากุระ แต่ทว่าบินมาถึง Osaka เกือบเที่ยงคืน เข้าพัก 1 คืน ก่อนเดินทางไป Kyoto ในตอนเช้า และเที่ยวเลาะไปเรื่อยๆ จนถึง Tokyo จึงทำให้ยังไม่ได้สัมผัส Osaka เลย จึงทำให้ตัดสินใจเลือกเที่ยวที่ภูมิภาคนี้ อีกเหตุผล คือ สะดวกในช่วงกลางถึงปลายเดือน พฤศจิกายน ซึ่งแถบนี้เหมาะแก่การชมใบไม้เปลี่ยนสีพอดี โดยค้นหาจากเว็บต่างๆ ว่า ใครที่โพสต์เกี่ยวกับการชมใบไม้เปลี่ยนสีภูมิภาคนี้ มักจะอยู่ในช่วงกลาง-ปลายเดือนพฤศจิกายน อีกด้วย จึงช่วยการตัดสินใจได้อีกทางหนึ่ง

ระยะเวลา 10 วัน - ซึ่งลางานเพียง 6 วัน แต่คร่อมวันหยุด "เสาร์-อาทิตย์" ถึง 2 สัปดาห์ ทำให้เที่ยวได้อย่างเต็มที่ จึงเลือก 23 พ.ย. - 2 ธ.ค. 2561 ซึ่งติดสินใจซื้อ Kansai Wide Area Pass (ซึ่งใช้เดินทางแบบ 5 วัน ต่อเนื่องกัน) ซึ่งหมายถึง ทริปเราต้องมีเวลามากกว่า 5 วัน เพื่อใช้ตั๋วรถไฟ JR ได้อย่างคุ้มค่า
บินด้วยสายการบินอะไรดี?
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ได้มีโอกาสเดินทางไปเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) บนเกาะคิวชู (Kyushu) ด้วยสายการบิน Vietname Airlines ซึ่งถือเป็นสายการบินแบบ Full Service แต่ทว่ามีการแวะเปลี่ยนเครื่อง (Transit) ที่ โฮจิมินห์ หรือ ฮานอย ประมาณ 2 ชั่วโมง ถือเป็นการพักขา ก่อนเดินทางต่อ ประทับใจในอาหารอร่อยทั้ง 4 มื้อ และบินด้วย Boeing 787 ลำใหญ่จากเวียดนาม ไปยังญี่ปุ่น ซึ่งนั่งสบายดี จึงทำให้ตั้งตารอตั๋วราคาพิเศษที่มีโปรโมชั่นในปีนี้ และจองล่วงหน้าเกือบ 6 เดือน ซึ่งได้ในราคาเพียง 13,920 บาท ต่อคน ซึ่งถือว่าได้ราคาดีมาก เพราะในบางช่วงที่ไม่มีโปร ราคาจะขึ้นไปสูงถึง 3 หมื่นกว่าบาท

เมืองที่จะเดินทางไป และโรงแรมที่พัก

เมืองที่จะเดินทางไป - เมืองและสถานที่หลักๆ สำหรับทริปนี้ ได้แก่ Osaka, Arashiyama, Kyoto, Kinosaki Onsen, Amanohashidate, Ine, Arima Onsen, Mt. Rokko, Kobe เป็นต้น โดยยังอยู่ในพื้นที่การให้บริการของ Kansai Wide Area Pass นั่นเอง ขออธิบายเกี่ยวกับ Kansai Wide Area Pass ซักหน่อย พูดง่ายๆ คือ บัตรเบ่งสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงได้รับสิทธิ์ในการซื้อและใช้งานเท่านั้น (ชาวญี่ปุ่นไม่สามารถซื้อได้) โดยราคาอยู่ที่ 9,000 เยน แต่ถ้าซื้อล่วงหน้าจากเมืองไทย จะได้ส่วนลด คงเหลือ 8,500 เยน (ซึ่งได้ซื้อจากงาน เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง เมื่อต้นเดือน พ.ย. 61 ในราคา 2,600 บาท แบบได้รับบัตรแข็งพร้อมใช้งาน) โดยสามารถใช้บริการรถไฟ JR ได้หลายๆ สาย (ดูจากแผนภาพ) ทั้ง Shinkansen อยู่ 1 เส้นทาง และ S.Rapid หลายๆ เส้นทาง แบบไม่ระบุที่นั่ง (Non-Reserved Seat) เท่านั้น รวมทั้ง Local Train อีกด้วย และถ้าดูจากแผนที่ข้างบน จะเห็นได้ว่า บัตรใบนี้ สามารถใช้เดินทางได้ครอบคลุมภูมิภาคคันไซได้ทั้งหมด หากวางแผนดีๆ เราสามารถท่องเที่ยวได้คุ้มค่ามากๆ
เวลาใช้งานก็แสดงบัตรครั้งแรก เพื่อให้เจ้าหน้าที่ฯ ประทับวันสิ้นสุดของบัตร จากนั้นเราก็สามารถใช้แสดงเวลาเดินเข้า-ออกสถานี รวมทั้ง แสดงให้เจ้าหน้าที่ฯ ตรวจตั๋วบนรถไฟในบางขบวน
ข้อควรระวัง : ห้ามหาย !! เพราะต้องซื้อใหม่ และต้องซื้อได้จาก สำนักงาน JR ใน สนามบิน หรือ สถานีใหญ่ๆ เท่านั้น และต้องซื้อในราคาเต็ม 9,000 เยน ดังนั้น ผมจึงรับอาสาหยิบมาแสดงและเก็บรักษาแทนเพื่อนๆ ทุกคนไว้อย่างดี ตลอดทั้ง 5 วัน เพราะถ้าไม่ใช้ Pass นี้ เราคงค้องจ่ายค่ารถไฟกว่า 6,000 บาท ในขณะที่เราซื้อ Pass ในราคา 2,600 บาท จึงช่วยประหยัดไปได้มาก
แผนการเดินทางในแต่ละวัน

หลักในการเลือกโรงแรมที่พัก จะมีหลักการดังนี้
เนื่องจากขากลับ ต้องเดินทางกลับมาขึ้นเครื่องในเวลาประมาณ 10:30 น. ต้องเดินทางมาถึง Kansai International Airport (KIX) ราว 8 โมงเช้า ซึ่งวิธีที่สะดวกที่สุด คือ ใช้รถด่วน HARUKA ซึ่งเดินทางจากสถานี Shin-Osaka มายัง Kansai International Airport (KIX) ได้ในเวลา 50 นาที
สำหรับในเมืองการเดินทางส่วนใหญ่ เราจะใช้รถไฟ JR เป็นหลัก จึงอยากจะพักใกล้ๆ สถานีรถไฟ Shin-Osaka แต่สำหรับคืนที่พักต่างจังหวัด จะเลือกที่พักที่ใกล้จุดท่องเที่ยวหลักๆ ของเมืองนั่น จะได้ไม่เสียเวลาเดินทาง เพราะในชนบท การเดินทางอาจไม่สะดวกนัก จึงต้องดูจากแผนที่ Google Maps เป็นตัวช่วยในการทราบตำแหน่งของโรงแรม และสถานที่ใกล้เคียง
การดูรีวิวและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็มีความสำคัญ เพราะทำให้เราทราบถึง รูปแบบห้อง, เตียงนอน, มีที่ฝากกระเป๋าเดินทางหรือไม่ มีส่วนช่วยในการตัดสินใจอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจาก ราคาที่ต้องใช้ในการพิจารณา
โรงแรมที่พัก ต้องรับฝากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไว้ แม้ในบางวันเราไม่ได้เข้าพัก เนื่องจากเราต้องไปพักในต่างจังหวัดด้วยถึง 3 คืน จึงนำกระเป๋าใบเล็กไปแทน
มีอาหารเช้าให้บริการในโรงแรม จะได้เติมพลังก่อนออกเที่ยวในแต่ละวัน
ในทริปจะต้องมี 1 คืน ที่พักเรียวกัง (Ryokan) แบบ Half Board จะเป็นที่พักแบบนอนฟูกบนเสื่อทาทามิ (Tatami) พร้อมเสริฟอาหารค่ำและอาหารเช้าแบบอลังการ จัดสำรับอาหารแบบญี่ปุ่นมาอย่างสวยงาม ใส่ชุดยูกะตะ (Yukata) นั่งรับประทานอาหาร โดยต้องมีบ่อแช่ออนเซ็น (Onsen) ในโรงแรมด้วย ซึ่งการพักแบบนี้ราคาค่อนข้างสูง (ประมาณหมื่นกว่าบาทต่อคืน) แต่จะได้สัมผัสการพักผ่อนแบบญี่ปุ่นอย่างเต็มที่ แต่สำหรับคืนอื่นๆ จะพักในราคาราว 2-3 พันบาท ต่อคืนก็เพียงพอ
เมื่อได้ตั๋วเครื่องบินแล้ว ก็จะวางแผนสถานที่ท่องเที่ยว จากนั้น ก็จะรีบจองโรงแรมไว้ทันที เนื่องจากช่วงที่จะเดินทาง ถือเป็นช่วงพีคของการชมใบไม้แดง อีกทั้งอยู่ในช่วงที่มีการจัด Osaka Marathon 2018 (25 พ.ย. 61) จึงจัดแจงรีบจองก่อน และมีส่วนลดการจองผ่าน Expedia ด้วยบัตรเครดิต Citibank ได้ลดอีก 10% จึงตัดสินใจจองทันที (สำหรับกรณีที่จองห้องพักมากกว่า 1 ห้อง จำเป็นต้องจองแยกเป็นแต่ละห้อง จึงจะได้รับส่วนลด 10% แต่ละห้อง เพราะถ้าจอง 2 ห้อง ด้วยการจ่ายครั้งเดียวกัน จะได้ส่วนลดเฉพาะห้องแรกเท่านั้น ถือเป็นเทคนิคในการจอง เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์)

จองตั๋วรถไฟที่นั่งจาก สนามบิน KIX ไปสถานี Shin-Osaka และวันกลับต้องนั่งจาก Shin-Osaka มาสนามบิน KIX

เลือกการเดินทางด้วยรถด่วน HARUKA จะสะดวกและรวดเร็วดี ซึ่งต้องดำเนินการจองตั๋วไว้ก่อนเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นจากเว็บ www.westjr.co.jp/global/en/ticket/icoca-haruka/

หากเดินทางไป-กลับ ไม่เกิน 14 วัน สามารถเลือกซื้อแบบ Round Trip (ไป-กลับ) โดยระบุสถานีปลายทาง อย่างเช่น Shin-Osaka ก็จะจ่ายที่ 4,600 เยน ต่อคน ซึ่งจะได้ทั้งตั๋ว Haruka 2 ใบ สำหรับเดินทางไป-กลับ โดยได้ส่วนลด และยังมีบัตร ICOCA อีก ใช้สำหรับแตะเพื่อขึ้นรถไฟใต้ดิน หรือรถไฟสายอื่นๆ ที่ไม่ใช่ของ JR อีกทั้งยังใช้สำหรับจ่ายค่าสินค้าในร้านสะดวกซื้อ ซึ่งจะมีมูลค่า 2,000 เยน ในบัตร (ค่ามัดจำบัตร 500 เยน) และการเติมเงินในบัตร (Charge) ก็สามารถทำได้ง่ายๆ จากตู้ในสถานีรถไฟ ซึ่งวางบัตรและสอดธนบัตรเพื่อเติมมูลค่าในบัตรได้

นอกจากนี้ ยังซื้อ Rokkosan Tourist Pass ที่บริเวณ Terminal 1 ของสนามบิน KIX ในราคา 1,000 เยน ต่อใบ (จากราคา 1,770 เยน) ซึ่งใช้สำหรับวันที่เราเดินทางจาก Arima Onsen ลงมายัง Kobe โดยนั่งรถบัสบน Mt. Rokko แบบไม่จำกัดเที่ยวในหนึ่งวัน รวมทั้งรถรางลงมายังเมืองโกเบ (Kobe) อีกหนึ่งเที่ยว และยังใช้เป็นส่วนลดในการเข้าชมสถานที่ต่างๆ ตามเส้นทางของรถบัสบนเขาร๊อคโค (Mt. Rokko) อีกด้วย โดยสามารถดูรายละเอียดได้จากเว็บ www.rokkosan.com/en/pass/ เพื่อช่วยในการวางแผนการเที่ยวชมจุดต่างๆ ได้ และจะแนะนำตอนเขียนบันทึกการเดินทางในแต่ละวันอีกที
สำหรับการเดินทางจากสถานี Shin-Osaka ไปยัง Arima Onsen นั้น หากนั่งรถไฟ จะต้องเปลี่ยนหลายขบวนกว่าถึงจุดหมาย จึงเลือกใช้ JR Express Bus แทนเพราะสะดวกกว่า โดยต้องดำเนินการจองล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนการเดินทาง โดยเข้าที่เว็บ www.kousokubus.net/JpnBus/en โดยจะได้รับลดราคาค่าตั๋วจาก 1,230 เยน เหลือ 1,000 เยน ต่อคน/ใบ และยังสามารถจองที่นั่งไว้ได้ พร้อมชำระเงินล่วงหน้าผ่านบัตรเครดิต

Pocket WIFI หรือ Internet SIM
ถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ที่ต้องใช้ เพราะเราต้องใช้สัญญานอินเตอร์เน็ต เพื่อเข้าสู่เว็บ www.hyperdia.com เพื่อเรียกดูตารางเวลารถไฟแบบัจจุบันทันด่วน (Real Time) ในการเดินทางแต่ละวัน โดยไม่จำเป็นต้องดูแผนที่สายรถไฟต่างๆ ให้เวียนหัว เพราะมีหลายสายพันกันไปหมด รวมทั้งการดูแผนที่ Google Maps, การค้นหาร้านอาหารโดยดูรีวิวต่างๆ นอกเหนือจากการใช้สำหรับโพสต์รูปพร้อมการเช็คอินสถานที่ต่างๆ และการใช้โทรหากันผ่าน WIFI Calling จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากในการท่องเที่ยวในยุคนี้ ซึ่งทริปนี้เลือกใช้ SAMURAI WIFI (10 วัน) โดยซื้อคูปองจากงานท่องเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตนเอง เมื่อต้นเดือน พ.ย. 61 เหลือราคา 1,000 บาท จากราคาปกติ 1,500 บาท
ต้องซื้อประกันการเดินทางด้วยทุกครั้ง
เป็นสิ่งจำเป็นและช่วยให้อุ่นใจในการเดินทางที่ต้องซื้อติดตัวไว้ เพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิดอาจเกิดขึ้นได้ และสำหรับการเดินทางไปญี่ปุ่น อยากแนะนำให้ซื้อประกันการเดินทางจาก Sompo Insurance (Thailand) PCL. ด้วยความเป็นบริษัทประกันสัญชาติญี่ปุ่น และค่าใช้จ่ายเบี้ยประกันไม่สูงแค่ 534 บาท (ระยะเวลา 11 วัน) แต่คุ้มครองครอบคลุมดีมาก

สรุป คือ เตรียมตัวให้พร้อมก่อนการเดินทาง ช่วยให้ท่องเที่ยวได้เต็มที่และคุ้มค่าทั้งเวลากับค่าใช้จ่ายที่ประหยัดขึ้นอีก
ฝากไว้เป็นตัวอย่างแนวคิดในการจอง การวางแผนแส้นทาง รวมถึง วิธีการเดินทางที่สะดวก รวดเร็ว แถมประหยัดได้อีกด้วย และขอให้สนุกในการวางแผนท่องเที่ยวกันนะ ไว้มาติดตามบันทึกการเดินทางในแต่ละวันต่อไปนะ
Camera : Samsung Galaxy S7/S6, Lumix TZ90, GoPro Hero7 Black
www.taweesak.in.th