เริ่มต้นทริปนี้โดยเดินทางจาก สนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยเที่ยวบิน VN 612 มีการเสริฟอาหารค่ำบนเครื่องและบินราว 2 ชั่วโมง เพื่อมาแวะเปลี่ยนเครื่องที่ สนามบินนอยไบ ฮานอย ซึ่งต้องรอประมาณ 4 ชั่วโมง ก็เลยใช้บริการเล้าจน์ทานอาหารและอาบน้ำสบายตัวก่อนขึ้นเครื่องด้วยเที่ยวบิน VN 330 ใช้เครื่อง Boeing 787 ลำใหญ่ และบินต่ออีกราว 3 ชั่วโมง 55 นาที ไปยัง สนามบินคันไซ (KIX) แห่งโอซาก้า และก่อนจะถึงจุดหมาย ก็ถูกปลุกจากการเสริฟอาหารเช้าบนเครื่องให้เติมพลังกันก่อนเริ่มต้นเที่ยวในวันแรก
หลังจากผ่าน ต.ม. ญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยและรับกระเป๋า เราต้องนำเอกสารมารับ ICOCA ลาย Hello Kitty ที่จองไว้ และยังได้รับบัตร HARUKA จำนวน 2 ใบ ซึ่งเราซื้อแบบเที่ยวไป-กลับ (Round Trip) ไว้เลย เพื่อใช้เดินทางไป-กลับ (ภายใน 14 วัน) ด้วยรถไฟ HARUKA โดยใช้เวลา 50 นาที ระหว่าง KIX และ สถานี Shin-Osaka ซึ่งสะดวกและรวดเร็วดี ก่อนที่เราจะเดินทางเข้าเมืองกัน ก็ต้องแวะไปซื้อ Rokkosan Tourist Pass ที่จุดบริการภายในสนามบินบริเวณ Terminal 1 ไว้ด้วยเลย เป็นอันว่าหมดกังวลเรื่องบัตรเบ่งต่างๆ ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการจ่ายปกติ
เมื่อเดินทางมาถึงสถานี Shin-Osaka ก็ลากกระเป๋าออกทาง North Exit ไปยังโรงแรม R&B Hotel Shin-Osaka Kita-guchi ห่างไปประมาณ 300 เมตร แต่ยังไม่สามารถเช็คอินในตอนเช้า เราจึงฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ก่อน เพื่อจะเริ่มท่องเที่ยวกันเลย ซึ่งจุดหมายแรกของเราคือ "น้ำตก Minoo จุดชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมในโอซาก้า" แต่ทว่าแต่ละคนน่าจะอยู่ในอาการสลืมสลือจากการนอนบนเครื่องราว 3 ชั่วโมง จึงต้องเติมคาเฟอีนและความหวานเข้าสู่ร่างกายเป็นการด่วน เพื่อกระชากความสดชื่นก่อนการเดินเท้าไป-กลับกว่า 5.2 กิโลเมตร ในวันแรก เพื่อไปเที่ยวน้ำตกมิโนะ (Minoo Waterfall)
ในวันนี้เรายังไม่เริ่มใช้ Kansai Wide Area Pass แต่เราจะใช้บัตร ICOCA แตะที่จุดเข้า-ออกสถานี เพื่อเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินและรถไฟ ดังนั้น เปิดเว็บซึ่งได้วางลิงค์ไว้ในหน้าจอหลักของมือถือสำหรับเรียกใช้ทุกวันตลอดทริป www.hyperdia.com เพื่อใช้ดูขบวนรถไฟต่างๆ สำหรับการเดินทางระหว่างสถานี โดยเราไม่จำเป็นต้องเปิดแผนที่แต่อย่างใด เพียงแต่ก่อนการเดินทางให้ทำการบ้านโดยดูจาก Google Maps หรือหาข้อมูลว่า เราจะเดินทางจากสถานีใด มาถึงสถานีใด จากนั้นเราก็สามารถกดจากเว็บ (ตามภาพ) จะแสดงขบวนรถและเวลาที่รถไฟออกให้ทราบ
ขอแนะนำวิธีการใช้ www.hyperdia.com อย่างเช่น เราเดินทางจาก Shin-Osaka ก็ป้อนในช่อง From และเดินทางไปยัง สถานี Minoo โดยป้อนในช่อง To จากนั้นกดปุ่ม Search หน้าจอแสดงผลลัพธ์ต่างๆ เราก็เลือกเวลาที่เหมาะกับเราในการเดินไปรอที่ชานชาลา เวลาทั้งหมดที่ใช้ในการเดินทาง (38 นาที) จำนวนค่าโดยสาร (500 เยน) และจำนวนการเปลี่ยนขบวนรถให้น้อยที่สุด ในการตัดสินใจเลือก
12:08 รถไฟออกจากสถานี Shin-Osaka ซึ่งเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน (Osaka Metro) สาย Midosuji Line ที่เดินทางไปยังสถานีปลายทาง Nakamozu ซึ่งให้สังเกตป้ายที่ชานชาลา ช่วยให้เรามั่นใจว่าเรานั่งรถไฟถูกฝั่ง เพราะจะไปยังปลายทาง 2 ฝั่งไม่เหมือนกัน
12:14 เมื่อเดินทางมาถึงสถานีรถไฟใต้ดิน Umeda เราต้องเดินไปเปลี่ยนรถไฟอีกขบวนในสาย Hankyu และขึ้นรถไฟ
12:20 รถไฟออกจากสถานี Umeda สาย Hankyu Takarazuka Line Exp. ที่เดินทางไปยังสถานีปลายทาง Takarazuka แต่นั่งไป 15 นาที เราต้องลงที่สถานี Ishibashi (Osaka) เพื่อเปลี่ยนรถไฟอีกขบวน
12:40 รถไฟออกจากสถานี Ishibashi (Osaka) สาย Hankyu Minoo Line ที่เดินทางไปยังสถานีปลายทาง Minoo และเราจะถึงในเวลา 12:46
ถือเป็นตัวอย่างการใช้ Hyperdia.com สำหรับดูสถานีและการเปลี่ยนสายรถไฟ หากเข้าใจหลักการแล้ว ก็ไม่ต้องกลัว เราก็สามารถเดินทางด้วยรถไฟไปไหนก็ได้แล้วทั่วประเทศญี่ปุ่นล่ะคราวนี้
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงสถานี Minoo ด้วยรถไฟขบวนสีแดงเข้ม ก็เดินออกจากสถานีก็เดินตามฝูงชนไปเรื่อยๆ เพราะทุกคนก็มุ่งหน้าไปยังน้ำตก Minoo กันอย่างแน่นอน ไปเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีกัน พอเดินเข้าไปก็เริ่มเห็นสีสันความงามจากธรรมชาติ อดไม่ได้ที่จะเริ่มเก็บบันทึกภาพด้วยความตื่นเต้น
มาทำความรู้จักกับสวนหรือหุบเขามิโนะ (Minoo Park) (箕面公園, Minō Kōen, สามารถสะกดด้วย Mino หรือ Minoh อีกด้วย) หรือมีอีกชื่อคือ มิโนะโอะ (Mino-o) ซึ่งเป็นหุบเขาในป่าที่อยู่ชานเมืองทางทิศเหนือของโอซาก้า ยังเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ร่วง การันตีความดีงามระดับภูมิภาคของคันไซจากการเคยได้รับรางวัล Quasi-National Park ในปี ค.ศ. 1967 ในพิธีครบรอบ 100 ปียุคเมจิ (Meiji Period 1867-1912) ซึ่งช่วงเวลาที่สามารถชมได้นั้น จะเริ่มตั้งแต่ครึ่งหลังของเดือนพฤศจิกายน ที่สำคัญแม้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติแต่เดินทางไม่ยาก เพราะสามารถเดินทางได้สะดวกเพียง 30 นาที จากสถานีรถไฟอูเมดะ (Umeda)
ระยะทางจากสถานี Minoo ไปยังน้ำตกนั้น ประมาณ 2.6 กิโลเมตร ลัดเลาะไปตามแม่น้ำมิโนโอะและอ้อมหุบเขามิโนะโอะยะมะ ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 1 ชั่วโมง แต่ทว่าเดินได้เพลินเพราะไม่ลาดชัน อีกทั้งยังเดินไป ถ่ายภาพไปให้หายเหนื่อย
พอเริ่มจะเหนื่อยก็มองเห็นน้ำตก Minoo ที่มีความสูง 33 เมตร อยู่ไม่ไกล ก็ทำให้เกิดแรงฮึดเดินต่อไปจึงจุดหมายที่ตั้งใจ จัดแจงงัดกล้อง GoPro Hero 7 Black ขึ้นมาเก็บบันทึกวิดีโอไว้เปิดดู เก็บบันทึกบรรยากาศไว้เปิดชมได้บ่อยๆ จะมองเห็นบริเวณน้ำตก, ใบไม้เปลี่ยนสีหลากหลายสีสันระหว่างทาง รวมทั้ง ร้านค้าที่ขายของฝาก ลูกพลับ เกาลัด และยังมีใบเมเปิ้ลชุบแป้งทอด (Momiji Tempura) อีกด้วย
พอจะเดินกลับ เริ่มรู้สึกว่า ต้องหาขนมหรืออาหารท้องถิ่นร้อนๆ มาเติมพลังกัน จะลองชิมขนมแป้งทอดพร้อมไข่ดาว ซึ่งก็อร่อยและเพิ่มพลังงานได้ดี ก่อนเดินกลับออกมาทางเดิม แต่ก็ยังเก็บบันทึกภาพไปเรื่อยๆ เพื่อมายังสถานี Minoo
ลองนำภาพจากกล้อง Lumix TZ90 มาดูบ้าง ซึ่งจะเน้นการถ่ายภาพซูมไกลๆ เป็นหลัก เพราะกล้องแต่ละตัวจะเก่งคนละด้าน จึงทำให้ได้ภาพที่แตกต่างจากสถานทีเดียวกัน เพิ่มความสนุกในการท่องเที่ยวแต่แลกกับน้ำหนักที่แบกเป้ไปด้วยนั่นเอง
ประมาณกลางทางระหว่างสถานี Minoo ไปยังน้ำตก จะพบกับวัด Ryuanji Temple แต่เสียดายที่ไม่มีเวลาแวะชมภายใน เพราะประมาณ 4 โมงเย็น ก็เริ่มมืดแล้วในฤดูนี้ เราจึงเร่งเดินเท้ากลับออกมา ขึ้นรถไฟไปสถานี Osaka โดยแวะหม่ำซูชิ (Sushi) ในร้านภายในสถานีกันสักครู่ และเราตั้งใจจะไปเดินช๊อปปิ้ง หม่ำอาหารค่ำกันในย่านชินไซบาชิ (Shinsaibashi) โดยเดินตามถนนช๊อปปิ้ง (Shinsaibashisuji) ไปจนถึง ป้ายไปกูลิโกะ (Glico) ที่ โดทมโบริ (Dotomburi) บริเวณสะพานเอบิซู ซึ่งเป็นสะพานข้ามคลองที่คึกคักมาก เพราะใครๆ ก็ต้องมาถ่ายภาพคู่กับป้ายไฟกูลิโกะจนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่มีคนมาถ่ายรูปคู่ด้วยมากที่สุด
ปิดท้ายทริปคืนแรกด้วย ราเมงร้อนๆ คนละชาม และนั่งรถไฟกลับไปสถานี Shin-Osaka เพื่อเช็คอินที่โรงแรมและพักผ่อนสำหรับเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้น ไว้มาติดตามกับบันทึกการเดินทางในตอนต่อไปนะ
Camera : Samsung Galaxy S7/S6, Lumix TZ90, GoPro Hero7 Black