เช้าวันที่ 5 ของทริป ซึ่งเรายังเดินทางกันต่อโดยใช้ Kansai Wide Area Pass (5 Days) โดยต้องเดินทางด้วย Limited Express Konotori 12 เพียง 9 นาที มาถึงสถานี Totooka (Hyogo) เพื่อมาต่อรถไฟเอกชนอีกสายแบบ Local ในเส้นทาง Kyoto Tango Railway Miyamai/Miyatoyo Line ที่เดินทางไปสิ้นสุดที่ Nishimaizuru แต่ทว่า เราจะลงกันที่สถานี Amanohashidate ซึ่งเราจะเที่ยวกันที่เมืองนี้ และพักค้างคืนกัน 1 คืน รถไฟขบวนนี้อยู่โครงการรถไฟท่องเที่ยวที่ดัดแปลงมาจากเส้นทางรถไฟหลายสายที่เคยเงียบเหงาจนเกือบไม่มีคนใช้ มาเชื่อมโยงเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอย่าง อามาโนะฮาชิดาเตะ Amanohashidate (天橋立) เริ่มต้นโครงการในปี ค.ศ. 2013 โดยมีรถไฟทั้งหมด 3 ขบวน คือ Kuro-matsu (ต้นสนสีดำ) Aka-matsu (ต้นสนสีแดง) Ao-matsu (ต้นสนสีน้ำเงิน) ซึ่งออกแบบโดยคุณอิจิ มิโทโอกะ (Eiji Mitooka) นักออกแบบรถไฟที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นที่เคยร่วมออกแบบรถไฟคิวชูชินคันเซ็น ทำให้รถไฟสาย Kyoto Tango Railway มีรูปลักษณ์ภายนอกและภายในสวยงามน่าหลงใหล ไปจนถึงเครื่องแบบพนักงานบริการสุดน่ารัก พลิกฟื้นให้เส้นทางรถไฟสายนี้ให้กลับมามีสีสันขึ้นอีกครั้ง
ด้วยความที่เมือง Amanohashidate (天橋立) แห่งนี้ถือว่ายังเป็นส่วนหนึ่งของเกียวโต หรืออาจเรียกว่าด้านทิศเหนือของจังหวัดเกียวโต แต่ทว่าติดชายฝั่งทะเลญี่ปุ่น ซึ่งเป็นที่ตั้งของอ่าวมิยาซุ (Miyazu) และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเป็นสันดอนทรายที่มีต้นสนขึ้นเรียงรายตลอดความยาว 3.6 กิโลเมตร ทอดยาวผ่านอ่าว Miyazu ทำให้ต้องมามองด้วยตา หลังจากที่รู้จักสถานที่แห่งนี้จากรายการ "ที่นี่หมอชิต ออกอากาศเมื่อ 12 เมษายน 2558" ทำให้ตัั้งเป้าหมายว่าจะมาเที่ยวสถานที่นี้ให้ได้ สบโอกาสในทริปนี้ จัดแจงวางโปรแกรมไว้ด้วยเลย พอเดินทางมาถึงก็นำกระเป๋าเดินทางใบเล็กไปฝากไว้ที่โรงแรม Auberge Amanohashidate Hotel และเดินย้อนกลับมาบริเวณตรงข้ามสถานีรถไฟ มองเห็นร้านราเมงและเดินผ่านไปซักเล็กน้อย ก็มีผู้ชายคนหนึ่งที่ร้านขายของถัดไป ก็ทักทายขึ้นมาแล้วแนะนำว่า ควรจะเดินขึ้นเขาไปเที่ยวที่ Amanohashidate View Land หรือนั่งเรือข้ามไปเที่ยวที่สวน Kasamatsu Park เชิญชวนให้ลองชิมราเมง ซึ่งเวลาก็เที่ยงวันแล้ว และยังไม่เจอร้านอาหารถูกใจ ก็ถือโอกาสอุดหนุนร้านราเมง ซึ่งก็เป็นร้านของคุณลุงนั่นเอง ด้วยความมีมิตรไมตรีของคุณลุง
หลังจากอิ่มหนำก็เดินตรงเข้ามาทางอ่าว ซึ่งจะผ่านวัดชิออนจิ (Chionji) มีชื่อเสียงเรื่องความฉลาด เป็นวัดที่นักเรียนมัธยมนิยมมาขอพรเพื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เราเดินตรงไปยังท่าเรือ ซึ่งเราก็เลือกซื้อตั๋วเรีอแบบเที่ยวเดียว เพราะขาไปเราจะนั่งเรือ แต่ตั้งใจไว้แล้วว่าขากลับจะเดินบนสันดอนทรายข้ามฝั่งมานั่นเอง (หรือใครจะเช่าจักรยาน ปั่นข้ามสันดอน ก็เป็นอีกวิธีที่นิยมเช่นกัน) นอกจากนี้้เรายังซื้อตั๋วเรือและพ่วงกับกระเช้าขึ้นบนเขาไปยัง Kasamatsu Park ด้วยเลย ซึ่งนั่งเรือ Amanohashidate Sightseeing Boat เพียงแค่ 12 นาที ก็มาถึงท่าเรือ Ichinomiya อีกฝั่ง (ขอแนะนำวิธีนี้หากใครมาเที่ยวสถานที่นี้)
เราก็เดินเท้าผ่านวัดอีกแห่งมายังจุดขึ้นกระเช้าซึ่งอยู่หลังวัดนั่นเอง ซึ่งบัตรนี้สามารถขึ้นกระเช้าทั้งแบบห้อยขา (Chair Lift) หรือแบบรถกระเช้า (Cable Car) แต่ทว่าเด็กวัยรุ่นอย่างเรา (รุ่นเดอะ) มันต้องนั่งกระเช้าห้อยขา พาหวาดเสียว มันถึงจะฟินสุดๆ ว่ามั้ย!
ไม่ต้องทำใจแต่อย่างใด ปล่อยให้เก้าอี้กระเช้ามาช้อนก้นเรา และพาไต่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ ชมวิวและใบไม้เปลี่ยนสีไปตลอดสองข้างทาง และถ้ามองย้อนกลับไป เริ่มเห็นสันดอนทรายกลายเป็นมังกรเลื้อยผ่านอ่าว Miyazu ชัดเจนยิ่งขึ้น
ไม่นานนักก็มาถึงจุดชมวิวข้างบน ได้มองเห็นความสวยงามของวิวสวยที่สุดอันดับ 1 ใน 3 ของญ๊่ปุ่นอย่างเต็มตา
เราจะมองเห็นคนเขายืนหันหลังแล้วก็ก้มมองใต้หว่างขา ซึ่งอาจสงสัยว่าแต่ละคนเขาทำอะไรกัน ซึ่งเป็นวิธีที่เรียกว่า "Matanozaki" โดยมองกลับหัวแล้วจะเห็นสันดอนทราย Amanohashidate กลายเป็นบันไดทอดขึ้นสู่สวรรค์ สมกับชื่อ Amanohashidate (天橋立) มีความหมายว่า "สะพานสู่สรวงสวรรค์"
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเทพเจ้าบนสรวงสวรรค์องค์หนึ่ง หลงรักกับเทพธิดาที่อยู่บนโลกมนุษย์ จึงสร้างสะพานทอดยาวลงมายังโลกมนุษย์เพื่อพบกัน แต่แล้ววันหนึ่งสะพานแห่งนั้นกลับพังทลายลง กลับกลายเป็นหาดทรายขาวพาดผ่านทะเลที่เรียกว่า อามาโนะฮาชิดาเตะ (Amanohashidate)”นี่คือหนึ่งในตำนานของ "อามาโนะฮาชิดาเตะ" สันทรายยาว 3.6 กิโลเมตร ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติกลางอ่าวมิยาซุ (Miyazu) ในจังหวัดเกียวโต กลายเป็นทางเชื่อมระหว่างแผ่นดิน 2 ฝั่งอ่าว และเป็นจุดชมวิวที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดติด 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นมาตั้งแต่โบราณ มีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี และมีชื่อปรากฏอยู่ในบทกวีโบราณ ตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1020
สถานที่แห่งนี้ ยังเหมาะสำหรับการเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง ไม่ว่าจะ เหลือง ส้ม แดง ถูกแต่งแต้มให้สวยงามไปทั่วทั้งพื้นที่ มองเห็นภูเขามีสีสันสลับกันไปสุดลูกหูลูกตา
ถือโอกาสถ่ายภาพกับ Kasabō (かさぼう) ซึ่งเป็น Mascot ประจำสถานที่แห่งนี้กันหน่อย
เที่ยวและบันทึกภาพกันอย่างหนำใจ ก็ได้เวลาเสียวอีกรอบ ด้วยการนั่งกระเช้าห้อยขาลงมา ซึ่ึงทำให้ได้ชมวิวได้ดีกว่าขาขึ้นที่ต้องนั่งหันหลังให้ตลอดทางนั่นเอง
เมื่อลงมาถึงพื้นล่างก็เดินผ่านศาลเจ้า Motoise Kono Shrine ศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานและมีความสำคัญของภูมิภาคนี้ (Tango) เพื่อตรงมายังบริเวณริมทะเลและเดินไปบนสันดอนทราย เพื่อชม "หาดทรายขาว ต้นสนเขียว"
ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายภาพกับฝาท่อประจำถิ่น ซึ่งเป็นของสะสมอย่างหนึ่งของบล๊อกเกอร์ เพราะเหมือนจุดเช็คอินของสถานที่ต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น ยังนึกฝันอยากให้เมืองไทยทำบ้าง
เดินไป คุยไป หนาวไป ใกล้มืดลงทุกที ท่ามกลางต้นสนกว่า 7,000 ต้น ซึ่งเจอทั้งคนเดินวิ่งออกกำลังกาย และปั่นจักรยานกัน ระหว่างทางยังมีที่นั่งพักให้หายเหนื่อย หรือถ่ายภาพกันไป ซ่อนความเหนื่อยได้นั่งพักขากันไป
แต่พอเดินมาถึงอีกฝั่งยังสะพาน Kaisenkyou ความจริงแล้วสันทรายของ Amanohashidate ไม่ได้ยาวจนชิดแผ่นดินทั้ง 2 ฝั่งจนตรงกลางเป็นทะเลสาบ แต่มีส่วนปลายทางทิศใต้ของสันทรายที่ขาดแหว่งอยู่ เป็นช่องทางให้น้ำทะเลไหลถึงกันได้ และยังเป็นช่องทางเดินเรือด้วย สะพานที่ข้ามช่องแคบดังกล่าวจึงเป็นสะพานที่สามารถหมุนได้ ถูกใช้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1923 ที่สามารถหมุนส่วนกลางของสะพานไปด้านข้างได้ 90 องศา เพื่อเปิดทางให้เรือวิ่งผ่านได้ และสะพานก็ยังคงถูกใช้มาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งจะมีการเปิดสะพานเรื่อยๆ เกือบตลอดทั้งวัน ระหว่างเดินเที่ยวอยู่ถ้ารอจังหวะดีๆ ก็อาจโชคดีได้เห็นที่สะพานกำลังหมุนด้วย แต่พอเดินทางถึงเราก็พยายามเดินหาร้านอาหารแต่ทว่า ร้านปิดหมด ทั้งแวะร้านสะดวกซื้อ ก็คงไม่อิ่มอย่างแน่นอน เพราะคืนนี้เรายังต้องไปแช่ออนเซ็น (Onsen) และต้องหาอะไรหม่ำหลังจากนั้นซึ่งมักจะหิวทุกครั้งหลังจากแช่น้ำแร่ เดินไปมาก็ต้องกลับมาอุดหนุนร้านราเมงร้านเดิมของคุณลุง ที่เราเพิ่งอุดหนุนเป็นมื้อเที่ยงอย่างไม่มีทางเลือกอื่น แต่เราก็เลือกสั่งราเมงที่ไม่ซ้ำกับมื้อเที่ยง เพื่อประทังชีวิตไปอีกมื้อนั่นเอง
หลังจากกลับมาที่โรงแรม เพื่อนำกระเป๋าไปไว้ในห้อง เราก็จะเดินข้ามไปอาบน้ำและแช่ออนเซ็นที่โรงแรม Amanohashidate Hotel ทั้งที่เราจองโรงแรม Auberge Amanohashidate - Miyazu ซึ่งในตอนเลือกจอง ก็สงสัยว่า โรงแรมแค่คืนละ 2,600 กว่าบาท แต่มีรูปบ่อแช่ออนเซ็นริมทะเล และราคานี้รวมอาหารเช้าอีกด้วย
ถึงบางอ้อ เมื่อเจ้าหน้าที่โรงแรมแจ้งตอนเช็คอินว่า ให้เดินข้ามไปแช่ออนเซ็นที่โรงแรมใหญ่ที่อยู่ติดกัน และรับประทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ที่โรงแรมข้างๆ อีกด้วย งานนี้ก็เลยฟินเต็มที่ในราคาที่ไม่สูง
เป็นประสบการณ์ประทับใจในเมืองแห่งนี้ แม้ว่าจะเดินทางไกลซักหน่อยแต่ทว่า คุ้มค่าการเดินทางและได้พักผ่อนอย่างเต็มที่กับบรรยากาศริมทะเล ได้นั่งกระเช้าห้อยขาไปชมวิวสวยๆ พร้อมใบไม้เปลี่ยนสี อีกทั้งเป็นการแช่ออนเซ็นริมทะเลของอ่าวมิยาซุ (Miyazu) และอยากแนะนำเมืองนี้ให้ได้มาท่องเที่ยวกัน
Camera : Samsung Galaxy S7/S6, Lumix TZ90, GoPro Hero7 Black