เช้าวันที่ 6 ของทริป หลังจากตื่นเช้าข้ามไปแช่ออนเซ็น และรับประทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟต์เต็มอิ่มกันที่ Amanohashidate Hotel เราก็เช็คเอ๊าท์จากโรงแรม Auberge Amanohashidate - Miyazu พร้อมทั้งฝากกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ที่โรงแรม เพราะวันนี้เรายังต้องเดินทางไปเที่ยวที่หมู่บ้านชาวประมงที่มีชื่อว่า อิเนะ (Ine) 伊根町 โดยเดินข้ามถนนมารอที่ป้ายรถเมล์ หน้าสถานี Amanohashidate รอนั่งรถบัส Tankai Bus ไปลงที่ Inewanmeguri – Hide Bus Stop ใช้เวลาประมาณ 50 นาที มีป้ายตารางเวลาของรถบัสอยู่ด้วย แต่เราก็ขอตารางบัสจากโรงแรมและกำหนดเวลากันไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน แต่ก็ต้องเดินมารอคิวก่อน เพราะว่ามีนักท่องเที่ยวจำนวนเยอะพอสมควรมารอคิว ซึ่งก็เจอกับนักท่องเที่ยวชาวจีนมากันเป็นกลุ่มใหญ่ ไม่เช่นนั้นอาจต้องยืนบนบัสแน่เลย หรือต้องรอบัสเที่ยวถัดไปก็จะเสียเวลา
นั่งรถบัสใช้เวลาประมาณ 50 นาที นั่งดูวิวข้างทาง เห็นทุ่งข้าวสีเหลืองทองสวยงาม และมีทุ่งดอกคอสมอสเล็กๆ เพื่อให้ผู้ที่ขับรถผ่านมาหยุดถ่ายภาพกันได้ แต่เราก็นั่งไปเรื่อยๆ ก็เริ่มเห็นวิวทะเลแล้ว แสดงว่าเริ่มใกล้หมู่บ้านอิเนะ Ine (伊根町)เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่ริมทะเลชายฝั่งทางตอนเหนือของจังหวัดเกียวโต (Kyoto) ซึ่งความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของเมืองนี้ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวอยากมาท่องเที่ยวกัน ก็คือ “ฟุนายะ” (Funaya) 舟屋 หรือภาษาอังกฤษจะเรียกว่า Boat House ที่ตั้งเรียงรายกันอยู่ริมน้ำรอบอ่าวถึง 230 หลังคาเรือน ซึ่งได้รับการอนุรักษ์ และยังอาศัยอยู่ราว 2,500 คน
อาชีพหลักของชาวบ้าน คือ การทำประมง แม้ว่าบางหลังจะถูกเปลี่ยนไปเป็นที่พักแบบเกสต์เฮาส์ก็ตาม แต่ก็ยังใช้วิถีชีวิตแบบขาวประมงกันอยู่ แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ น่ารัก ริมอ่าว ดูเหมือนไม่มีอะไรมากมาย แต่ได้ชื่อว่าเป็น 日本で最も美しい村 (Nihon de mottomo utsukushii mura) หนึ่งในหมู่บ้านที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น
เราก็เดินไปเรื่อยๆ เจอแดดอุ่นๆ ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย ถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ มองเห็นนักท่องเที่ยวมาล่องเรือชมอ่าวอิเนะ (Ine-wan Bay Excursion Boat)
เรือจะพานักท่องเที่ยววนรอบอ่าวอิเนะ ซึ่งรายล้อมไปด้วยบ้านแบบฟุนายะโดยใช้เวลา 30 นาที ให้นักท่องเที่ยวได้ชมภูมิทัศน์ของหมู่บ้านลอยน้ำแห่งนี้ที่ดูสวยงามแปลกตาแตกต่างไปจากเมื่อมองจากบนบก และยังจะได้เพลิดเพลินไปกับการให้อาหารกับฝูงนกนางนวลที่บินแวะเวียนมาที่เรืออีกด้วย
แต่พวกเราเลือกเดินเที่ยวไปตามเส้นทางเรื่อยๆ ผ่านหมู่บ้านแต่ละหลัง แต่ก็เงียบสงบมากยังแอบสงสัยว่า คนหายไปไหนกันหมด หากเป็นขาวประมงน่าจะออกไปจับปลาช่วงกลางคืน กลางวันแบบนี้คงปิดเงียบนอนพักผ่อนกัน เดาว่าเช่นนั้น
บ้าน “ฟุนายะ” (Funaya) โดยชั้นล่างเป็นท่าจอดเรือ ส่วนชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย เป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบดั้งเดิมในท้องถิ่น เพื่อให้สามารถออกเรือจากบ้านไปหาปลาได้สะดวกรวดเร็ว จำนวน 230 หลังทอดยาวเป็นแนวเส้นโค้งสวยงามริมอ่าวเป็นระยะทางยาวกว่า 5 กิโลเมตร
ปัจจุบันชาวบ้านส่วนหนึ่งดัดแปลงฟุนายะชั้นบนของอู่เรือเป็นเกสต์เฮาส์เล็กๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว มีทั้งหมด 7 แห่ง ซึ่งได้สร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับผู้มาเยือน เพราะเกสต์เฮาส์แต่ละแห่งจะต้อนรับเราราวกับเพื่อนสนิทที่มาเยี่ยมบ้าน มีอาหารเย็นชุดใหญ่ และห้องนอนอบอุ่นในตอนกลางคืน ห้องนอนส่วนใหญ่จะมีหน้าต่างกว้างเปิดให้เห็นวิวริมทะเล พอล้มตัวลงนอนแล้วหลับตา จึงเหมือนลอยอยู่กลางทะเลท่ามกลางความมืดมิด มีเสียงคลื่นกล่อมให้หลับใหล
เดินไป ก็เริ่มจะหิวแต่ทว่ามองหาร้านอาหารไม่เจอ หรือว่าปิดอยู่ เรียกได้ว่าใครชอบสถานที่ ชิล ชิล เงียบสงบ มาเที่ยวที่นี่ได้เลย วันที่ไปนักท่องเที่ยวก็ไม่ได้มากมาย ทำให้เดินไปเพลินๆ จะแวะถ่ายภาพจุดไหน ก็แทบจะไม่เจอผู้คน
ในวันที่ฟ้าสวยๆ แบบนี้ เหมาะกับการมาเที่ยวทะเล ซึ่งไม่ได้มาท่องเที่ยวชายหาด กลับได้สัมผัสบรรยากาศของหมูบ้านชาวประมงเก่าแก่ย้อนยุคแทน
ในที่สุดก็ต้องเดินย้อนกลับออกมาหม่ำอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารบนชั้น 2 ของ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของหมู่บ้านอิเนะ (Inemachi Information Center) ซึ่งเป็นเซ็ตอาหารทะเล อิ่มอร่อยกำลังดี ราคาก็ไม่แพง มองวิวทะเลนอกหน้าต่างได้อีกด้วย
หากดูจากแผนที่จะแสดงหมุดจุดขึ้นรถบัสกลับ ซึ่งหลังจากอิ่มอร่อยแล้ว เราก็ต้องเดินทางกลับด้วยรถบัสกลับไปที่ Amanohashidate ตามเดิม และต้องไปรับกระเป๋าเสื้อผ้าที่ฝากไว้ที่โรงแรม เพื่อมาขึ้นรถไฟกลับเข้าเกียวโต
เดินลากกระเป๋าจากโรงแรมข้ามถนนมาขึ้นรถไฟ ซึ่งเรายังคงใช้ Kansai Wide Area Pass กันได้อยู่ ยังพอมีเวลาเหลือให้ซื้อกาแฟยืนจิบก่อนขึ้นรถไฟ ซึ่งมีผู้โดยสารมายืนรอเข้าแถวยาว ซึ่งเราต้องนั่งรถไฟขบวน Limited Express Tango Relay 6 ใช้เวลา 45 นาที เพื่อไปเปลี่ยนรถไฟอีกขบวนที่ Fukuchiyama
ซึ่งเกิดเหตุการณ์ที่รถไฟเดินทางมาถึงล่าช้า ทำให้เราเหลือเวลาในการเปลี่ยนขบวนรถไฟจาก 6 นาที เหลือเพียง 3 นาที ซึ่งพวกเราก็เตี๊ยมกันไว้ว่า พอรถไฟถึงชานชาลา ก็เตรียมใส่เกียร์วิ่งเพราะลากกระเป๋าใบเล็ก เพื่อไปเปลี่ยนขบวนรถไฟชนิดเฉียดฉิว แต่ทว่าผู้โดยสารคนอื่นๆ ก็พากันวิ่งไป ทุลักทุเลเล็กน้อย แต่พอไปถึง รถไฟขบวน Limited Express Kinosaki 20 ก็จอดรออยู่แล้ว แต่ทว่ารถไฟก็ออกช้าเล็กน้อย เพราะเป็นผลมาจากการล่าช้าของขบวนที่เราโดยสารมานั่นเอง รู้งี้ไม่ต้องวิ่งเร็วขนาดนี้ก็ยังทัน แต่ก็มานั่งหอบแฮ๊กๆ กันบนรถไฟ ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบ
ยังดีที่ได้ที่นั่งในตู้ Non-Reserved Seat นั่งพักเหนื่อยไปอีก 79 นาที กว่าจะถึงเกียวโต (Kyoto) เพื่อไปหม่ำบุฟเฟต์ชาบูกันในเย็นวันนี้ ต้องหม่ำชดเชยพลังงานที่เสียไปจากการวิ่งเมื่อสักครู่นี้ แต่กรณีที่ไม่ทันขบวนรถนี้จริงๆ ละก้อ ไม่ต้องตกใจ เพราะลองค้นหาจาก Hyperdia แล้วยังมีอีกขบวนที่จะเข้ามาอีกไม่กี่นาที จะเป็นขบวน Limited Express แล่นตรงเข้าสถานี Shin-Osaka ได้เลย ซึ่งเราก็พักอยู่ที่โรงแรมใกล้ๆ สถานี Shin-Osaka อยู่แล้ว แต่คงต้องไปหาบุฟเฟต์ชาบูร้านอื่นที่ Osaka แทน ซึ่งข้อดีอย่างหนึ่งของการใช้พาสของรถไฟ (Pass) ทำให้เราเปลี่ยนขบวนได้โดยไม่ต้องไปเปลี่ยนตั๋วรถไฟหากต้องมีการปรับเปลี่ยนขบวนหรือเส้นทาง
ในที่สุดเจ้ารถไฟขบวน LTD. EXP KINOSAKI 20 สุดหล่อหน้าตาเหมือนหนอน ก็พอพวกเรามาส่งที่สถานี Kyoto ในเวลาประมาณ 1 ทุ่มนิดๆ ก็เดินออกมาถ่ายภาพกับ Kyoto Tower กันซักเล็กน้อย ก่อนไปจัดหนักบุฟเฟต์ชาบู ในห้างใหญ่ที่อยู่หลัง Kyoto Tower อิ่มหนำสำราญ ก็ได้เวลานั่งรถไฟขบวน LTD. EXP THUNDERBIRD 46 ในเวลา 22:03 น. กลับไปถึงสถานี Shin-Osaka ในเวลา 22:26 น. (ใช้เวลา 23 นาที) และไปแวะ Family Mart ข้างๆ โรงแรม ก่อนพักผ่อนเอาแรง เพื่อท่องเที่ยวกันต่อในวันพรุ่งนี้
Camera : Samsung Galaxy S7/S6, Lumix TZ90, GoPro Hero7 Black