Disable Preloader




ทริป 10 วัน คันไซ ใบไม้แดง : ตอนที่ 8 - ไปแช่ออนเซ็นเก่าแก่ กว่า 1,300 ปี ที่ Arima Onsen

มาถึงวันที่ 8 ของทริปนี้กันแล้ว ซึ่งเช้านี้เราตื่นกันแต่เช้า รับประทานอาหารเช้า และเช็คเอ๊าท์อีกครั้ง แต่เราก็ฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่โรงแรม เพราะเราจะไปพักค้างคืนกันหนึ่งคืนที่ Arima Onsen (有馬温泉) โดยลากกระเป๋าใบเล็กไปแทน แต่เราก็จะกลับมาพักโรงแรมนี้กันต่ออีก ซึ่งการวางแผนแบบนี้ ช่วยให้เราฝากกระเป๋าใหญ่ที่โรงแรมได้สะดวก

สำหรับการเดินทางจากสถานี Shin-Osaka ไปยัง Arima Onsen นั้น หากนั่งรถไฟ จะต้องเปลี่ยนหลายขบวนกว่าถึงจุดหมาย จึงเลือกใช้ JR Express Bus แทนเพราะสะดวกกว่า โดยต้องดำเนินการจองล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนการเดินทาง โดยเข้าที่เว็บ www.kousokubus.net/JpnBus/en โดยจะได้รับลดราคาค่าตั๋วจาก 1,230 เยน เหลือ 1,000 เยน ต่อคน/ใบ และยังสามารถจองที่นั่งไว้ได้ พร้อมชำระเงินล่วงหน้าผ่านบัตรเครดิต

ซึ่งเมื่อวานนี้ เราก็ไปสอบถามจุดขึ้นรถบัส เพื่อให้แน่ใจว่าเรามาขึ้นถูกป้ายหยุดรถ เพราะไม่ใช้ต้นสาย และโชคดีที่เตรียมตัวก่อน เพราะสับสนจุดขึ้นรถ เนื่องจากข้อมูลจากแผนที่ของเว็บจองตั๋วรถบัสนั้น ให้ข้อมูลตำแหน่งรอรถสับสนมาก แต่เข้าใจได้ เนื่องจากมีสะพานซ้อนไปมาในแผนที่ หลังจากที่มาดูจุดขึ้นรถกันตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เช้านี้เลยกะเวลาลากกระเป๋าและเส้นทางได้อย่างมั่นใจ เราก็มายืนรอล่วงหน้าก่อนรถบัสมาถึงตรงเวลา ก็ยื่นเอกสารหลักฐานการซื้อตั๋วล่วงหน้าจากเมืองไทย พร้อมระบุที่นั่ง พนักงานขับรถก็ประทับตราลงในเอกสารว่าใช้แล้ว ไม่นานนักก็เดินทางมาถึงเมืองอะริมาแห่งนี้ มีสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีให้ตื่นเต้นกันเป็นการต้อนรับ

จากทีได้ตามหาออนเซ็นเก่าแก่กว่า 1,300 ปี มาหลายแห่ง เช่น Takeo Onsen ที่เมือง Takeo บนเกาะคิวชู และ Kinosaki Onsen ที่เมือง Kinosaki ตอนเหนือของคันไซ จึงตั้งใจใส่ Arima Onsen (有馬温泉) ไว้ในทริปนี้ด้วย เพราะถือเป็นออนเซ็นเก่าแก่อันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ซึ่ง "อะริมะ" (Arima) แห่งนี้เป็นเมืองเล็กๆ อยู่ทางทิศเหนือของเขาร๊อคโค (Mt. Rokko) ถือว่าอยู่ใกล้กับเมืองโกเบ (Kobe) และเมืองโอซาก้า (Osaka) ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องน้ำแร่มาตั้งแต่สมัยโบราณ มีบันทึกว่า จักรพรรดิโจเม (ค.ศ. 629-641) เสด็จมาแช่น้ำแร่ที่นี่นานถึง 86 วัน เช่นเดียวกับ จักรพรรดิโคโตกุ ที่ทรงโปรดการแช่น้ำแร่ที่เมืองนี้และพักอยู่นานถึง 82 วันเลยทีเดียว

ชื่อเสียงของ Arima Onsen เป็นที่เรื่องลือกันในหมู่ประชาชนในสมัยนั้นเป็นต้นมา แต่หลังจากนั้นสถานที่แห่งนี้ก็เริ่มทรุดโทรม แม้จะได้รับการบูรณะปรับปรุงบ้าง แต่เนื่องจากภัยธรรมชาติและภัยสงคราม จึงทำให้ที่นี่ถูกทิ้งรกร้าง จนถึงสมัยของ "โทโยโทมิ ฮิเดโยชิ" ไดเมียว ผู้โด่งดังได้เดินทางมาแช่น้ำแร่ที่เมืองนี้ เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายภายหลังจากการทำสงครามแล้ว เกิดติดใจจนต้องกลับมาใช้บริการซ้ำแล้วซ้ำอีก จนในที่สุด ท่านจึงทำการพัฒนา Arima ขึ้นมาเต็มที่ โดยมีการสร้างแท่นขุดเจาะ ทางเดินน้ำและบ่อน้ำร้อน จนกลายเป็นสถานที่อาบน้ำแร่ที่ได้รับความนิยมเช่นปัจจุบันนี้

แนะนำให้เลือกความละเอียด 1080p60HD บน YouTube เพื่อภาพที่คมชัดที่สุด

มองเห็นสะพานเนะเนะ (Nene Bashi) สะพานสีแดงอยู่ตรงนั้นและสายน้ำการลังไหลลดหลั่นลงมาคล้ายกันน้ำตก ซึ่งความจริงแล้วเป็น แม่น้ำ Rokko Kawa

วันนี้แดดดีฟ้าสวย ยิ่งแสงกระทบกับใบไม้เปลี่ยนสี ยิ่งขับให้สีสันสดใสโดดเด่น เราก็สนุกกับการเก็บบันทึกภาพกัน ก่อนจะเดินไปยังโรงแรม Kanpo no Yado Arima Hotel ที่เราได้จองไว้ล่วงหน้าแล้ว

สะพานสีแดง แห่งนี้มีรูปปั้นของเนะเนะ ภรรยาของ ฮิเดโยชิ ผู้ซึ่งโปรดปรานการมาพักผ่อนที่เมืองนี้อย่างมาก กำลังยืนชมต้นเมเปิล เป็นจุดถ่ายรูปแห่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะช่วงที่ใบไม้เปลี่ยนสีเช่นนี้

ถ่ายภาพกันสนุกสนาน ก็ได้เวลาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแผนที่ เพื่อลากกระเป๋าเดินไปยังโรงแรม มองเห็นโรงอาบน้ำแร่ที่เก่าแก่ของอะริมา เปิดตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002 น้ำแร่ของที่นี่จะมีผสมหลัก คือ โซเดียมคลอไรด์และแร่เหล็กอยู่มาก จึงมีสีออกน้ำตาลเหลือง และเป็นที่มาของชื่อ "โรงอาบน้ำคินโนะยุ" Kin No Yu (Kin แปลว่า ทอง) นั่นเอง

โรงอาบน้ำแห่งนี้หาไม่ยาก เพราะตั้งอยู่เป็นแห่งแรกกลางทางแยก เดินตรงมาเรื่อยๆ ก็จะเห็นป้ายพร้อมน้ำเต้าโลหะลูกเล็กๆ ที่มีน้ำแร่ไหลออกมาให้ดื่มฟรี ข้างๆ โรงอาบน้ำแร่ยังมีบ่อแช่เท้า ให้นักท่องเที่ยวหรือคนที่เดินผ่านไปมา ได้แช่เท้าในน้ำแร่แบบเดียวกับข้างในโรงอาบน้ำกันฟรีๆ หากใครไม่มีเวลา หรือทำใจไม่ได้กับการล่อนจ้อนต่อหน้าคนอื่น ก็สามารถแช่เท้าไปพลางๆ ก่อนได้

แต่ก่อนจะลากกระเป๋าไปโรงแรม เราก็มองหาร้านอาหารกลางวันกันก่อน ก็มาหยุดกันที่ร้านแกงกะหรี่หมูทอด พร้อมชาร้อน อิ่มอร่อย และที่ร้านไม่มีห้องน้ำ แต่เจ้าของร้านจะให้เหรียญเพื่อเดินไปหยอดที่ Pay Toilet เข้าไปใช้บริการกัยฟรี ถือเป็นการบริหารจัดการที่ดี เพราะร้านค้าแถวนี้ ก็ให้ลูกค้ามาใช้บริการสุขาสาธารณะได้ หากมีการเข้ามารับประทานอาหารที่ร้าน

เมื่ออิ่มเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินตามแผนที่ในมือถือ เพื่อไปยังโรงแรม แต่ทว่า "หลง" ใช่แล้วหลงทางเดินวนไปอีกทาง เนื่องจากแทนที่จะเดินเลี้ยวขวา แต่เราเดินตรงไป ทำให้ไปอีกเส้นทาง แต่ก็ได้ชมสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีอีกมุมของเมือง (ถือข้ออ้างของเรา คนนำทางนั่นเอง) ก่อนจะเดินย้อนกลับมาตั้งต้นที่ "โรงอาบน้ำคินโนะยุ" Kin No Yu กันอีกครั้ง

พอตั้งหลักได้ อ่านแผนที่อีกครั้ง คราวนี้ไม่พลาดแล้ว ก็มาถึงโรงแรมพร้อมทั้งเช็คอินเรียบร้อย พร้อมทั้งเลือกรอบของการรับประทานอาหารค่ำที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้ เนื่องจากเราจองแบบ Half Board ไว้ด้วย เราเลือกรอบ 18:30 น. เพราะว่าเราจะได้มีเวลาไปแช่ออนเซ็นถึง 2 แห่ง ที่สำคัญของเมืองนี้

หลังจากวางกระเป๋าเรียบร้อย ก็นำถุงผ้าและของใช้เล็กน้อย เดินมาแช่บ่อน้ำแร่เงิน (Gin No Yu) ที่โรงอาบน้ำแห่งนี้ชื่อจะคล้ายๆ กับที่แรก แต่ที่นี่อ่านออกเสียงว่า "งินโนะยุ" หรือ "กินโนะยุ" (Gin แปลว่า เงิน) ตามสีของน้ำแร่ที่นี่ที่จะออกใสๆ เนื่องจากมีส่วนผสมหลัก คือ คาร์บอนิกและเรเดียม โรงอาบน้ำแร่แห่งนี้ จะอยู่ด้านบนๆ ของตัวเมือง ต้องเดินขึ้นเนินตามหาซะหน่อย และจะค่อนข้างเงียบ คนไม่พลุกพล่านเหมือนที่แรก แต่พวกเราก็มาแช่ที่นี่ก่อน เพราะเจ้าหน้าที่โรงแรมได้แนะนำว่า ควรมาแช่ที่นี่เพราะเป็นน้ำแร่สีเงิน และโรงแรมที่เราพักจะเป็นน้ำแร่สีทอง แบบเดียวกับ Gin No Yu ซึ่งถ้าเราไม่ได้แช่ที่ Gin No Yu เราก็สามารถแช่ที่โรงแรมคืนนี้ได้

แต่พอเราแช่กันประมาณ 30 นาที ก็ออกมา เพื่อไปแช่ที่ Gin No Yu ดีกว่า เพราะว่าโรงอาบน้ำค่อนข้างเล็กและน้ำแร่เงิน ก็เหมือนน้ำแร่ใสๆ ในบ่อออนเซ็นทั่วๆ ไป เราจึงไปแช่กันต่อที่ Gin No Yu ซึ่งถือเป็นโรงอาบน้ำที่พลาดไม่ได้ หากมาถึงเมืองอะริมา (Arima Onsen) แห่งนี้ ระหว่างเดินจะผ่านโรงงานผลิต ขนมเซมเบ้ ที่อยู่ภายในเมือง

ก็รีบเข้าไปแช่ออนเซ็นสีทองกัน ผิวจะได้ผุดผ่องเป็นยองใย ช่วยสลายข้าวแกงกระหรี่หมูทอดในพุงกัน เพราะคืนนี้ เรายังมีชุดอาหารอลังการที่โรงแรมกัน แต่ในเมืองนี้ยังมีโรงอาบน้ำแร่อีกแห่ง คือ Arima Onsen Taikou No Yu ซึ่งโรงอาบน้ำแร่ที่มีจำนวนถึง 24 บ่อ เรื่องว่าเป็นออนเซ็นแบบธีมพาร์ค (Theme Park) ก็ว่าได้ ด้านในมีบ่อน้ำแร่ตกแต่งสไตล์ต่างๆ ทั้งบ่อหิน บ่อไม้ อ่างหินอ่อน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ชั้น แต่เราเน้นแช่แหล่งที่เป็นโบราณจริงๆ ให้สมกับแหล่งอะริมาออนเซ็นที่เก่าแก่กว่า 1,300 ปี แห่งนี้

หลังจากนัดเวลากัน ก็เดินเที่ยวในเมืองยามเย็น ซึ่งฤดูกาลนี้จะมืดเร็วมาก แต่ก็ยังมีสีสัน และชิม ขนมเซมเบ้ ที่เมืองนี้มีรถชาติไม่หวานมาก กรอบอร่อย และมีน้ำแร่อะริมาเป็นส่วนผสมด้วย มีให้เลือกหลายรถชาติ ทำกันสดๆ ทุกวัน

เมื่อเดินกลับมาที่โรงแรม ก็เข้าไปเปลี่ยนเป็นชุดยูกะตะ เพื่อลงไปรับประทานอาหารในโรงแรม มีการเตรียมอาหารสวยงาม มาเสริฟตรงหน้า

ได้ขอเปลี่ยนอาหารสำหรับผู้ที่ไม่ได้ทานเนื้อวัว ทางโรงแรมก็เปลี่ยนเป็นอาหารทะเลให้แทน แต่เชื่อว่าใครที่ทานเนื้อก็น่าจะถูกใจความความนุ่มอร่อยของเนื้อโกเบ

หลังจากรับประทานอิ่มอร่อยกันแล้ว ก่อนจะกลับไปที่ห้องพักและไปแช่ออนเซ็นแบบน้ำแร่สีทองในโรงแรมแห่งนี้ ก็ถือก็โอกาสถ่ายภาพในชุดยูกาตะกันเป็นที่ระทึกและระลึกกันซักหน่อย แช๊ะ!!!

สำหรับการจองโรงแรมในแต่ละทริป อยากแนะนำให้จองที่พักแบบ Half Board อย่างน้อยซัก 1 คืนในทริป เพราะอยากให้สัมผัสถึงความเป็นญี่ปุ่น พักแบบเรียวกัง รับประทานอาหารค่ำแบบบรรจงเสริฟมาอย่างสวยงาม และเพิ่มความประทับใจในแต่ละทริป แม้ราคาจะสูงกว่าค่าที่พักในคืนอื่นๆ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า น่าจดจำ เป็นความสุขให้รางวัลกับชีวิต

Camera : Samsung Galaxy S7/S6, Lumix TZ90, GoPro Hero7 Black

www.taweesak.in.th