หลังจากเครื่องบินแตะสนามบินคันไซ (KIX) ราว 5 ทุ่ม ซึ่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติที่ตั้งอยู่บนเกาะที่สร้างขึ้นในอ่าวโอซาก้าด้วยฝีมือมนุษย์นั้น พวกเราก็นั่งรถบัสข้ามสะพานเพียงไม่กี่นานทีก็มาเข้าพักโรงแรม เตรียมแรงไว้เที่ยวในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อไปยังวัดน้ำใส หรือมีชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า วัดคิโยมิซึเดระ (Kiyomizu-dera Temple) (清水寺)
ซึ่งรถบัสของพวกเราแล่นผ่านอ่าวโอซาก้า และมองเห็นสะพานที่มุ่งตรงไปสู่สนามบินคันไซ มองเห็นเรือยอร์ชเทียบท่าเป็นจำนวนมาก รวมไปถึง สนามกอล์ฟบนพื้นน้ำ น่าจะตีลูกตกน้ำเป็นว่าเล่น
หลังจากเดินทางมาถึงเมืองเกียวโต (京都) มองเห็นบรรยากาศแม่น้ำและต้นซากุระบานสวยเด่น ทำให้ต้องขอกดชัตเตอร์รัวๆ เพื่อให้ได้ภาพจากบนรถที่กำลังแล่นข้ามสะพาน
จะดีแค่ไหน หากได้ท่องเที่ยวด้วยจักรยาน เพื่อเที่ยวชมดอกซากุระ (Sakura) ตลอดริมฝั่งแม่น้ำคะโมะ (Kamo) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญสายหนึ่งของเกียวโต มองแล้วแอบอิจฉาคนญี่ปุ่นที่ปั่นจักรยานชมวิวสวยๆ ทุกวัน และชื่นชมการดูแลภูมิ ทัศน์ได้ดี
ไม่นานนักก็ถึงจุดจอดรถบัส เพื่อเดินเข้าไปท่องเที่ยวที่ วัดน้ำใส เป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของเกียวโตวัดหนึ่ง ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของเกียวโต ซึ่งวัดนี้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์เกียวโตโบราณ และยังได้รับ การรับรองให้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO อีกด้วย
สองข้างทางเส้นทางเดินเข้าวัดซึ่งปูด้วยหิน จะมีร้านค้าขายของที่ระลึกต่างๆ สินค้าที่โดดเด่นก็จะมี ผักดอง เครื่องปั้นดินเผา และก็ขนมของเมืองเกียวโต ถนนสายนี้เรียกว่า คิโยมิซึซากะ (清水坂)
เดินมาถึงทางเข้า ต้องเดินผ่านซุ้มประตูเข้าวัด และมีเจดีย์ 3 ชั้นเด่นตระหง่านเป็นที่สวยงาม ที่ซุ้มประตูวัดก็มีเทพวัชรดารายืนถมึงทึงเป็นทวารบาลอยู่ายในซุ้มทั้งสองข้าง โดยซุ้มประตูนี้เรียกว่า ประตูนิโอ (仁王門)
ขอเก็บภาพบรรยากาศไว้บ้าง เพราะเป็นจังหวะที่มาถึงในช่วงที่ดอกซากุระบานเต็มที่พอดีในช่วงต้นเดือนเมษายนปีนี้ ซึ่งพยายามลุ้นอยู่ตลอดจากเว็บไซต์ http://www.jnto.go.jp/sakura/eng/ ซึ่งในปีนี้ดอกซากุระจะบานช้ากว่าปีก่อนอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ ด้วยเหตุที่เมื่อประมาณเดือนมกราคมในปีนี้ อากาศหนาวเย็นและหิมะตกหนักมากกว่าปกติ
เลยกลายเป็นจังหวะที่ดี ได้มาเห็นซากุระที่ยังบานเต็มที่ และบางส่วนเพิ่งจะเริ่มแตกใบอ่อนเท่านั้น อีกทั้งไม่เจอฝนตกทั้งที่สัปดาห์ก่อนจะมีฝนตกแทบทุกวัน
มีสาวชาวญี่ปุ่น แต่งกายชุดกิโมโน ซึ่งเป็นชุดประจำชาติที่สวยงาม มาถ่ายภาพกับดอกซากุระกัน
ดอกซากุระสีชมพูอ่อน เบิกบาน สวยงาม
เดินเข้ามาบริเวณภายในวัด มีหอพระที่มีชื่อเรียกว่า หอซุยกุ (隋求) ซึ่งประดิษฐานพระอวโลกิเตศวร เดินเลยขึ้นไปผ่านเจดีย์ 3 ชั้นสีส้ม ผ่านหอเก็บของอีกสองหอเรียกว่า เคียวโด (経) กับ ทามุระโดหรือไคซังโด (田村/開山) ผ่านซุ้มประตูเข้าไป ก็ จะเจอ หออะซะคุระ (朝倉) กับซุ้มทางเดินเข้าอาคารหลัก (โบสถ์) นั่นเอง
เดินเข้ามาถึงภายในโบสถ์ คนเยอะมากในวันนี้ ล้วนมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์กัน แต่ก็มีนักท่องเที่ยวอยู่เป็นส่วนใหญ่
วัดน้ำใส ตั้งอยู่ที่ เขตฮิกาชิยามะเมืองเกียวโตจังหวัดเกียวโต (京都府京都市東山区) และเป็นวัดในศาสนาพุทธ ซึ่งเดิมเป็นวัดในนิกายธรรมาวะ (法相宗) ต่อมาได้แยกนิกายออกมาเป็นนิกายธรรมาวะทางตอนเหนือ (北法相宗大本山) มีพระสหัสสุชชาริยะอวโลกิเตศวร (千手観音) เป็นพระประธาน นับเป็นวัดลำดับที่ 16 แห่งการจาริกบูชาพระอวโลกิเตศวรของภาคตะวันตก 33 แห่ง (西国三十三箇所観音霊)
วัดแห่งนี้ยังได้รับการรับรองประกาศเป็นมรดกโลกโดยองค์กรยูเนสโก และเคยเข้ารอบคัดเลือกการลงมหามติให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ เมื่อปี ค.ศ. 2007 (แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ติดอยู่ในเจ็ดอันดับดังกล่าว)
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นวัดเก่าแก่ มีอายุมากกว่า 1,000 ปี จึงมีประวัติที่มาและตำนานหลากหลายฉบับ และตำนานอันเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ในปี ค.ศ. 778 พระภิกษุเอ็นจิง (延鎮) เกิดนิมิตเห็นว่าตนได้เดินทางไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง มีผู้คนจาริก แสวงบุญที่บ่อน้ำนี้มาหลายร้อยปีแล้ว จนหลงเหลือคำพูดของนักจาริกว่า “เราจะไปยังแดนตะวันออก เรื่องที่เหลือฝากด้วยนะ” (自分はこれから東国へ旅立つので、後をむ) ซึ่งเมื่อเอ็นจิงได้เดินทางไปตามนิมิตนั้น ก็ได้พบกับบ่อ น้ำและได้ใช้ท่อนไม้ที่พบในบริเวณนั้นแกะสลักเป็นองค์พระอวโลกิเตศวรขึ้น และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของการกำเนิดวัดน้ำใส
มองเห็นน้ำตกสามสายไหลลงมาที่สระน้ำ น้ำในสระที่ว่าก็คือ "น้ำใส" ที่เชื่อกันว่า ดื่มไปแล้วจะทำให้สมหวังในสิ่งที่ปรารถนาไว้
แต่ทว่าบล๊อกเกอร์ไม่ได้ไปต่อแถว เพราะแถวยาวมากจริงๆ จึงขอแค่ยืนบันทึกภาพ กดเช็คอินผ่านอินสตาแกรมและเฟสบุ๊คแทน
ตรงห้องโถงกลางมีระเบียงขนาดใหญ่ที่รองรับด้วยเสาไม้ขนาดใหญ่เช่นกัน จากระเบียงที่ยื่นออกมาจากหุบเขาทำให้สามารถมองเห็นวิวของเมืองได้อย่างสวยงาม
การสร้างระเบียงขนาดใหญ่นี้เป็นรูปแบบการสร้างที่นิยมในช่วงยุค เอโดะ เพื่อรองรับกับนักเดินทางที่หลั่งไหลเข้ามา
สมัยเอโดะนั้น มีวลียอดฮิตของญี่ปุ่น “โดดระเบียงที่คิโยมิซึ” (to jump off the stage at Kiyomizu) ซึ่งเทียบเท่ากับสำนวนอังกฤษว่า “การตัดสินใจกระทันหัน” (to take the plunge) วลีนี้อ้างอิงมาจากการกระทำจริงในสมัขเอโดะ ถ้าใครโดดจากระเบียงสูง 13 เมตรที่วัดคิโยมิซึ แล้วรอดมาได้ ความปรารถนาจะเป็นจริง
จากสถิติที่เคยบันทึกไว้ 234 ครั้งในยุคเอโดะ พบว่า 85.4% รอดชีวิตจากการโดดครั้งนี้ แต่ในปัจจุบันนี้ ห้ามทดลองโดดอีกแล้ว
ฟ้าวันนี้ช่างสวยเป็นใจให้ถ่ายภาพต้นซากุระจริงๆ
ไม่ว่าจะมองไปมุมไหน จะมองเห็นดอกเป็นจำนวนมาก
ได้ยินเสียงนกร้อง อยู่หลายตัว ขอเก็บภาพน้องนกไว้ด้วย เหมือนกับนกกระจอกบ้านเรา แต่ทว่าอ้วนกว่ามากเหมือนใส่เสื้อกันหนาวไว้
มีทั้งสีขาว สีชมพูอ่อน และสีชมพูเข้ม สลับกันแข่งความสวยงาม
หากลองถ่ายแบบใกล้ๆ เห็นกลีบดอกที่บอบบางมาก
เมื่อยามลมพัด จะมองเห็นกลับดอกซากุระ ปลิวลงเป็นสาย ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ความงามจะไม่ได้มีให้ชมแบบนี้นานนัก
ทั้งลมและฝนที่ชะดอกให้ร่วงหล่น อีกทั้งใบอ่อนที่เริ่มแตกออกอย่างเห็นได้ชัด มาแทนที่ดอกนั่นเอง เป็นสัญญาณของฤดูใบไม้ผลิ
กลีบดอกร่วงลงน้ำ ในบริเวณสวนญี่ปุ่นที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
ขอซักหนึ่งแช๊ะ! อุตส่าห์แบกขาตั้งกล้องมาด้วย เลยขออนุญาตเป็นนายแบก
แต่ละต้น ประชันความงามแบบไม่ยอมกัน
หากเป็นกรรมการให้คะแนน คงจะหนักใจไม่น้อย
ให้คะแนนเต็มทุกต้นเลยแล้วกัน
ได้เวลาไปเที่ยวต่อยังสถานที่อื่นๆ เลยขอเดินตามสาวในชุดกิโมโน กลับออกทางเดิมเพื่อไปยังรถบัสในเวลาที่นัดหมายกันไว้
และต้องขอขอบคุณ เนื้อหาและประวัติของสถานที่ ที่ได้คัดลอกมาจากเว็บไซต์ต่างๆ บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เพื่อมาประกอบภาพและแบ่งปันกันบนสังคมอินเตอร์เน็ต