บันทึกการเดินทาง : 19/10/2559 | VN 602 : Bangkok (BKK) > Ho Chi Minh (SGN) | VN 350 : Ho Chi Minh (SGN) > Fukuoka (FUK)
เมื่อปีที่แล้วได้มีโอกาสเดินทางไปยังเกาะใต้แห่งประเทศญี่ปุ่น หรือเกาะคิวชู ถึงสองครั้ง แล้วรู้สึกประทับใจในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งอาหารอร่อย และรถไฟที่มีรูปแบบหลากหลาย ในปีนี้จึงตั้งใจอยากกลับไปเที่ยวอีก จึงเปิด Google Maps หาข้อมูลวางแผนจัดทริปแบบที่ไม่ซ้ำกับที่เคยเดินทางไป จึงออกแบบแผน 6 วัน 5 คืน และปักหมุดแบบที่อยากไปชิลอย่างเต็มที่ หลังจากได้ข้อมูลเรื่องสายการบิน เวียดนามแอร์ไลน์ (Vietnam Airlines) ซึ่งเป็นสายการบินแบบ Full Service แต่ทว่าต้องไปแวะเปลี่ยนเครื่องที่เวียดนามทั้งขาไปและขากลับ แทนการบินตรง เพื่อแลกกับตั๋วราคาพิเศษรวม 9 พันกว่าบาท ซึ่งแพงกว่าสายการบินแบบ Low Cost แค่พันกว่าบาท แต่ว่ามีอาหารเสริฟบนเครื่องถึง 4 มื้อ, โหลดสัมภาระถึง 30 กก. และต้องแวะเปลี่ยนเครื่องราว 2 -3 ชั่วโมง และที่สำคัญ อย่าลืมทำ Internet Check-in ล่วงหน้า 24 ชั่วโมงมาก่อน พอมาถึงก็ไม่ต้องเข้าคิวรอ เจ้าหน้าที่ให้มาโหลดกระเป๋าที่ช่อง Sky Priority ได้ทันที
ทำให้มีเวลาเข้าไปเดินเล่นหลังจากผ่าน ตม. ที่ สนามบินสุวรรณภูมิ เรียบร้อยแล้ว โดยทางสายการบินจะทำการ Check-Thru กระเป๋าไปที่ปลายทางยังเมืองฟุกุโอกะ พร้อมทั้งได้รับ Boarding Pass ระบุที่นั่ง 2 ใบ ซึ่งเครื่องออกราว 19:30 น ด้วยเที่ยวบิน VN 602 ซึ่งขาไปจะเดินทางไปแวะที่เมืองโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh)
เมื่อเครื่องบินขึ้นสู่ระดับที่ปลอดภัยแล้ว สัญญาณปลดเข็มขัดดับลง แอร์โฮสเตทก็จะเสริฟอาหารค่ำเป็นมื้อแรกของทริป พร้อมกับนั่งชมวิวยามค่ำคืนไปด้วย ซึ่งใช้เวลาบิน 1 ชั่วโมง 30 นาที ก็เดินทางถึงเมืองโฮจิมินห์ เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งก็ลงจากเครื่องบิน ก็เดินผ่านห้องที่ต้องสแกนสัมภาระที่หิ้วติดตัวอีกรอบ เพื่อไปยังส่วนที่รอขึ้นเครื่องไปยังฟุกุโอกะ ซึ่งมีเรื่องขำเล็กน้อยที่เจ้าหน้าที่ฯ พยายามถามว่า เครื่องโทรศัพท์มือถือนี้ คือ Samsung Note 7 หรือเปล่า? เราก็ตอบว่า "No! Samsung S6" ประมาณว่า เจ้าหน้าที่ก็ไม่รู้เลยว่าเครื่อง Note 7 หน้าตาเป็นอย่างไร
หลังจากผ่านด่านอรหันต์มาแล้ว เราก็มองหาร้านกาแฟดื่มแก้ง่วงซักถ้วย ซึ่งพกเงินด่องของเวียดนามที่เหลือจากทริปเมื่อต้นปีมาด้วย กะว่าจะมาละลายเป็นกาแฟซักแก้วสองแก้ว ก็ได้ใช้เงินที่พกมา และกาแฟแก้วนี้แพงมาก ตั้ง 70,000 ด่อง หรือแค่ประมาณ 100 บาท แต่ก็ได้นั่งจิบกาแฟและเล่นเน็ตฟรีไปด้วย คุ้มมาก! และสามารถใช้เงิน US$ ดอลล่าร์ จ่ายได้เช่นกันนะ .. นั่งจิบกาแฟไป คุยกับเพื่อนไป ไม่นานนักก็ไปนั่งรอที่หน้า Gate ก่อนขึ้นเครื่องต่อไปยัง เมืองฟุกุโอกะ ซึ่งได้รับ Boarding Pass มาตั้งแต่ที่ สนามบินสุวรรณภูมิ แล้ว สะดวกมากเลย
ราวเที่ยงคืน เราก็ขึ้นมานั่งบนเครื่องบินแล้ว เพื่อเตรียมออกเดินทางในเวลา 00:35 น. ซึ่งเครื่องยังไม่ทันเหิรฟ้า ผมก็หลับไปเรียบร้อยแล้ว ตื่นมาอีกทีมองออกไปนอกหน้าต่าง ก็ชมแสงจากเมืองที่อยู่ด้านล่าง เดาว่าน่าจะเป็นประเทศไต้หวัน ซึ่งมองอยู่ไม่นานก็กลับมามืด คงเพราะบินออกสู่ทะเลมุ่งตรงไปยังประเทศญี่ปุ่น
งีบต่ออีกไม่นาน ก็ได้เวลาเสริฟอาหารเช้ากันแล้ว เปิดแผงหน้าต่าง เริ่มมองเห็นเมฆสวยอยู่ข้างๆ และฟ้าเริ่มสว่าง
หยิบแผนคร่าวๆ ของการเดินทางขึ้นมาดู ซึ่งทำแผนไว้ล่วงหน้า 2-3 เดือนแล้ว จึงต้องนำขึ้นมาทบทวนซะหน่อย เพราะเที่ยวเอง ลากกระเป๋าเอง เกิดผิดแผนคงยุ่งยากหรือเสียเวลาอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ถึงกับเครียดอะไร กลับเป็นความสนุกท้าทาย เพราะหากมีเหตุการณ์หรือฟ้าฝนไม่เป็นใจ เราก็จะต้องปรับแผนให้เหมาะสมได้
มองแสงอาทิตย์ที่เส้นขอบฟ้า และเมฆที่เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปให้ดูเพลิน ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพได้เพลิดเพลิน ซึ่งภาพต่างๆ ที่นำมาใช้เขียนบล๊อก จะเป็นภาพที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือ และใช้ App ชื่อ "Snapseed" ของ Google มาใช้ในการใส่ข้อความในภาพอย่างสะดวก พร้อมสำหรับการโพสต์ใน FB หรือ IG และบันทึกชื่อสถานที่ วันที่ ไว้ย้อนกลับมาดูเมื่อไร จะได้ทราบว่าที่ไหน เมื่อไร จึงใช้ภาพเหล่านั้นมาเขียนบล๊อกบันทึกการเดินทางซะเลย
ได้เวลาอาหารเช้าแล้ว หากมองเวลาก็น่าจะเป็นตี 4 บ้านเรา ซึ่งรู้สึกว่าอยากนอนมากกว่า แต่พอหม่ำไปได้ซักหน่อย ก็รู้สึกหายง่วง
หลังจากรับประทานอาหารเช้าพร้อมชมวิวนอกหน้าต่างๆ เครื่องบินเริ่มลดระดับ และมองเห็นบริเวณพื้นดินเบื้องล่าง คาดว่าน่าจะแถวเมืองนางาซากิ ซึ่งมีโอกาสมาเที่ยวเมืองนี้เมื่อเดือน มีนาคม ปีที่แล้ว และเป็นเมืองน่ารักติดกับทะเล โดยชื่นชอบมุมสูงที่มองจากสวน Glover Garden (グラバー園)
เครื่องบินลดระดับลงสู่ท่าอากาศยานฟุกุโอกะ มองเห็นเมืองได้ชัดเจน และโชคดีที่ไม่เจอฝน ซึ่งก็ลุ้นและติดตามดูพยากรณ์อากาศก่อนเดินทางมาตลอดทั้งสัปดาห์ก่อนเดินทาง
ผ่านขั้นตอนของการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ซึ่งครั้งนี้มีการเปลี่ยนแบบฟอร์ม ต.ม. รูปแบบใหม่ ทำให้แบบฟอร์มที่กรอกมาจากบ้านใช้ไม่ได้ แต่ทว่าแบบฟอร์มใหม่ใบเล็กกว่า กรอกได้ง่ายๆ ไม่ต้องกังวล เมื่อได้กระเป๋าสัมภาระครบถ้วน ก็มาแวะทำภารกิจส่วนตัวตรงมุมนี้ทุกครั้งที่มาสนามบินนี้นับเป็นครั้งที่ 3 แล้ว แต่ "The Hakata Gion Yamagasa" ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่า "เกี้ยว" หรือไม่? ซึ่งชาวญี่ปุ่นจะแบกไว้บนบ่าในขบวนแห่กัน
และแล้วก็พร้อมออกเดินในญี่ปุ่นกันแล้ว ก็เดินออกนอกประตูสนามบิน มาเข้าคิวรอขึ้นรถบัสฟรี เพื่อพาไปยัง Domestic Terminal ซึ่งจะมีสถานีรถไฟใต้ดิน (Subway) เพื่อเดินทางเข้าเมือง
จึงจัดแจงหยอดเหรียญคนละ 260 เยน เพื่อเดินทางด้วยสายสีส้ม Koku Line จากสถานี (K13) Fukuokakuko ไปยัง (K11) Hakata เพื่อไปจัดการเรื่องตั๋วรถไฟให้เรียบร้อยก่อน
ซึ่งตั๋วแรกที่จะซื้อ คือ ตั๋วรถไฟใต้ดิน (Subway) สำหรับ 1 วัน Fukuoka Tourist City Pass ที่จะใช้ในวันนี้ตลอดทั้งวัน โดยต้องแสดง Passport และเจ้าหน้าที่จะดูตราประทับที่ได้รับอนุญาตอยู่ระยะสั่น ซึ่งสามารถนั่งรถไฟใต้ดิน และรถเมล์ โดยไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ในราคา 820 เยน และยังใช้เป็นส่วนลดในการเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวได้หลายแห่งอีกด้วย ซึ่งหน้าตาจะอยู่ในภาพบน มุมล่างซ้าย ซึ่งวิธีใช้ง่ายมาก คือ ขูดในช่อง ปี เดือน และ วันที่ใช้ ซึ่งเวลาจะใช้ก็เพียงยื่นให้เจ้าหน้าที่ดูเท่านั้น
ที่สำคัญอีกใบ คือ Northern Kyushu Area Pass สำหรับ 5 วัน ในราคาใบละ 10,000 เยน ซึ่งครอบคลุมเมืองต่างๆ ที่จะเดินทางในทริปนี้ โดยมาถึง Rail Pass Counter จะมีแบบฟอร์มในกรอกก่อนนำไปซื้อบัตร ซึ่งต้องใช้ Passport อีกเช่นกัน เพราะมีไว้สำหรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ซึ่งช่วยให้ประหยัดมาก หากวางแผนเที่ยวดีๆ
เมื่อจ่ายเงินและได้รับตั๋วเรียบร้อยแล้ว ขอแนะนำให้ยื่นแบบฟอร์มสำหรับการจองที่นั่งรถไฟในขั้นตอนนี้เลย ซึ่งก่อนเดินทางประมาณ 1 สัปดาห์ ก็เข้าเว็บ www.hyperdia.com เพื่อดูเที่ยวรถไฟตามวันเวลาที่จะเดินทาง ซึ่งมีประโยชน์มากในการวางแผนท่องเที่ยว และจำเป็นมากโดยเฉพาะบางขบวนของรถไฟในคิวชู จะเป็นขบวนพิเศษ ซึ่งมีความน่ารัก เป็นที่ใฝ่ฝันของนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบรถไฟทั่วโลก โดยต้องจองที่นั่ง (Reserved Seat) เท่านั้น และยังเป็นการสร้างความมั่นใจว่า เราไม่ต้องยืนอีกด้วย
จัดการเรื่องตั๋วเรียบร้อยแล้ว ก็ไปชิลได้ตามสบาย หากาแฟดื่มเพลินๆ เพราะเหลือแค่นำกระเป๋าไปฝากที่โรงแรม เพราะกว่าจะเช็คอินได้ก็บ่าย 3 โมง เราก็สามารถเดินตัวเบา ไปไหนมาไหนได้ แล้วค่อยกลับมาเช็คอินในตอนเย็น
ซึ่งทริปนี้เปลี่ยนไปนอนย่านเทนจิน (Tenjin) ซึ่งรายล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้า จนบางคนเปรียบว่า "นอนย่านสยามสแควร์" ซึ่งเมื่อปลายปีที่แล้ว มานอนย่านฮาคาตะ (Hakata) ซึ่งเป็นสถานีรถไฟใหญ่ จนบางคนเปรียบว่า "นอนย่านหัวลำโพง" ซึ่งสะดวกหากจะพักและนั่งรถไฟไปเที่ยวต่างเมือง เพราะการท่องเที่ยวด้วยรถไฟในคิวชูนั้น สะดวกมาก และหลายๆ เมือง สามารถไปเช้าเย็นกลับได้ ดังนั้น ใครอยากมาเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ผมว่า ฟุกุโอกะ และเกาะคิวชู เป็นจุดหมายที่น่าสนใจมาก
ด้วยความที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย อาหารอร่อย และไม่แออัดเมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ๆ ที่อื่น เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ช่วง 2 ปีนี้ ได้มาเที่ยวเกาะคิวชูถึง 3 ครั้ง และไว้มาติดตามกันต่อ จะพาไปทำความรู้จักคิวชูแบบแปลกตากัน แล้วจะหลงรักคิวชูเหมือนกัน