บันทึกการเดินทาง : 20/10/2559 | Tenjin > Fukuoka Tower > Ohorikoen > Hyotan Sushi
หลังจากลากกระเป๋าไม่ไกลนักจากสถานี Tenjin เราก็เข้าไปที่ Hotel Mystays Fukuoka-Tenjin ซึ่งได้ราคาพิเศษเนื่องจากจองพร้อมตั๋วเครื่องบินผ่าน Expedia.com แต่ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน 15:00 น. จึงฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมแล้วก็เริ่มออกเที่ยวกัน
เริ่มจากสถานที่ใกล้ๆ โรงแรมเพื่อเดินไปยังจุดหมายแรก คือ ACROS Fukuoka Foundation เพื่อไปชมอาคารแปลกๆ แต่ยอดเยี่ยมในการแนวคิดการออกแบบ จึงเดินไปยังแม่น้ำซึ่งอยู่ในเส้นทางที่จะไปยังตึกแห่งนั้น แต่ก็ได้พบกับอาคารอิฐสีแดงนั่นก็คือ Fukuoka City Museum of Literature สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1909 เพื่อให้เป็นสาขาที่คิวชูของบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ต่อมาในปี ค.ศ. 1969 ก็ถูกโอนมาเป็นของเมืองฟุกุโอกะ จนกระทั่งปรับปรุงมาเป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน ต้องชื่นชมที่เก็บสถาปัตยกรรมเก่าแก่สวยงามนี้ไว้อย่างดี
เดินต่อมาอีกเพียง 5 นาที ก็มาถึง อาคารที่ตั้งใจมาชมให้ได้ นั่นคือ ACROS Fukuoka Foundation เพราะเคยเห็นจากนิตยสาร ซึ่งมีการปลูกต้นใหม่ไว้บนตัวอาคารลดหลั่นเหมือนภูเขา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดีมาก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่เริ่มต้องการนำต้นไม้ มาช่วยลดโลกร้อน เพิ่มสีเขียวให้คนเมืองอย่างบ้านเรา
อาคารแห่งนี้เปิดในปี ค.ศ. 1995 เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ภายในยังมี The Fukuoka Symphony Hall และ International Conference Hall และอื่นๆ ภายในอาคารแห่งนี้ ถือโอกาสเดินบันไดขึ้นไปตามเส้นทางสักเล็กน้อย ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในสวนป่า มีไม้ดอก ไม้ใบอย่างต้นเมเปิล (Maple) สวยงามแต่ยังไม่เปลี่ยนสีในตอนนี้ จากนั้นก็เดินทางกันต่อไปยังจุดหมายต่อไปนั่นก็คือ Hakata Bay Area
ไหนๆ ก็ซื้อ Fukuoka Tourist City Pass สำหรับ 1 วันไว้แล้ว ก็ใช้ให้คุ้มซะหน่อย ก็ลง Subway จากสถานี Tenjin ไปยังสถานี Nishijin และนั่งรถ Taxi ต่อไปยัง Fukuoka Tower ที่อยู่ไม่ไกลนัก ... สำหรับอัตราเริ่มต้นอยู่ที่ 670 เยน และก็เพิ่มตามระยะทางเหมือนบ้านเรา ซึ่งช่วยออมแรงได้มาก อีกทั้งช่วยประหยัดเวลาเดินได้มาก จึงเป็นตัวเสริมในการวางแผนการเดินทางเช่นกัน
พอลงรถ Taxi อยู่หน้าตึก Fukuoka Tower ที่สูงตระหง่าน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1989 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ของเมืองฟุกุโอกะ ด้วยความสูง 234 เมตร ... เราขอเดินข้ามมาที่ริมทะเล ซึ่งตอนแรกนึกว่าจะมีร้านอาหารมากมายที่สวนสาธารณะริมทะเลโมโมชิ Momochi Seaside Park (シーサイドももち) แห่งนี้ แต่ก็มีน้อยและเป็นร้านค้าร้านอาหารเล็กๆ และมีส่วนที่เป็นเกาะลอยยื่นออกไปในทะเลเรียกว่า มาริซอน (Marizon) ซึ่งเป็นสถานที่เช่าจัดงานแต่งงานด้วย
ไหนๆ มาเดินเที่ยวแถวนี้ ที่มีสถาปัตยกรรมแบบอิตาลี เราเลยขอนั่งทานอาหารอิตาเลียนที่ร้าน Mammamia บรรยากาศรับลมหนาวจากทะเลซะเลย งานนี้ได้ฟอกปอดอย่างเต็มที่ สูดอากาศสดชื่น
นั่งไป หม่ำไป คุยไป ไม่ต้องเร่งรีบ ไหนๆ มาพักผ่อนอย่างเต็มที่ กระทั่งเริ่มจะสู้ลมหนาวไม่ได้ จึงเดินไปหาความอบอุ่นใน Fukuoka Tower กันต่อ ซึ่งท้องฟ้าวันนี้มีหมอกหนา หากขึ้นไปบนจุดชมวิว ก็คงมองไม่เห็นวิวได้ไกลนัก จึงตัดสินใจว่าไม่ขึ้นไปดีกว่า แต่หากใครที่มาเที่ยวที่นี่ และใช้ Fukuoka Tourist City Pass ยังจะได้รับส่วนลดพิเศษอีกด้วย
ลมแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เราจึงตัดสินใจกลับไปยังโรงแรมดีกว่า เพื่อเช็คอินและเพื่อนขอพักอยู่ที่ห้อง ผมก็ขอออกไปเดินเที่ยวชมสวน Ohori-koen (大濠公園) ซึ่งเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ และไม่ไกลจากโรงแรม เพียงแค่ 2 สถานีของ Subway (Tenjin > Asakasa > Ohorikoen เหมือนกับนั่งรถไฟฟ้าจาก สยาม ไป สวนลุมพินี นั่นเอง
พอมาถึงก็พบกับบึงหรือสระน้ำขนาดใหญ่ บรรยากาศดีจริงๆ ลมพัดเย็นสบาย เราก็สนุกกับการหยิบโทรศัพท์มือถือขึันมาถ่ายภาพ และเปิดแอป Snapseed เพื่อเลือกโหมด HDR ให้ภาพสดใส และเพิ่มข้อความเข้าไป แค่นี้ก็ได้โปสการ์ดสำหรับอัพโหลดขึ้น IG และ FB พร้อมเช็คอินสถานที่ไปด้วยทันที
แม้จะเป็นเพียงสวนสาธารณะ แต่ทว่าอากาศที่เย็นสบาย แดดร่ม นั่งทอดอารมณ์ชมแสงสุดท้ายของวันนี้ได้อย่างดี
เน่าจะเป็นความตั้งใจหรือไม่ ที่นำเป็ดมาว่ายน้ำไปมา ซึงทำให้สวนสาธารณะที่ดูจะธรรมดา มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
มาเจอเรือเป็ด ยิ่งทำให้นึกถึง สวนลุมพินี ขึ้นมาทันที มองเห็นวิวตึกสูงอยู่ไกลๆ รวมทั้ง เกาะลอย ที่อยู่ตรงหน้า นี่มันคือ เกาะลอย แห่งสวนลุมพินี หรือเปล่าเนี่ย!
เดินข้ามสะพานไปที่เกาะลอย ที่เต็มไปด้วยต้นสนที่มีรูปทรงสวยงาม ทำให้ยิ่งอยากเดินข้ามไปเที่ยวชมใกล้ๆ มาทำความรู้จักกับสวนแห่งนี้กันซักเล็กน้อย คำว่า "โอโฮริ" (Ohori) แปลได้ว่า คูน้ำรอบเมืองหรือรอบปราสาท ซึ่งสระน้ำแห่งนี้เคยเป็นส่วนหนี่งในระบบคูน้ำของปราสาทฟูกุโอกะที่อยู่ข้างๆ นั่นเอง
หากมองออกจากเกาะลอย จะมองเห็นตึกอยู่โดยรอบ และเป็นอาคารที่พักอาศัยด้วย แสดงว่าสวนแห่งนี้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของคนเมือง ดูได้จากมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ มาเดิน มาวิ่งออกกำลังกาย รวมทั้ง จูงสัตว์เลี้ยงมาวิ่งเล่น ซึ่งต่างจากสวนสาธารณะบ้านเรา จะห้ามนำสัตว์เลี้ยงมาวิ่งเล่น
มีศาลาหกเหลี่ยมสีแดงอยู่ คงเหมือนกันสวนสาธารณะ ที่มักจะมีศาลาริมน้ำ เป็นที่พักหลบฝนหรือหลบแดด และดูเหมือนรูปแบบของจีนมากกว่าญี่ปุ่น ซึ่งสวนแห่งนี้สร้างขึ้นช่วงประมาณปี ค.ศ. 1929 โดยได้แนวการออกแบบจากความคลาสสิคของสวนตะวันออกของประเทศจีน
มองเห็นคนกำลังตกปลา ซึ่งก็สงสัยว่า "ตกปลาได้ด้วยเหรอ?"
สองคนนี้ท่าทางจริงจังมาก คาดว่า ตาอินกะตานา หาปลาไปเป็นซูชิค่ำนี้แน่เลย
สะพานและมีโคมที่หัวสะพาน รู้สึกดีที่ได้มาเดินพักผ่อนกับบรรยากาศเย็นสบายในวันนี้ ในตอนแรกคิดว่าจะตัดออกจากโปรแกรมแล้ว เพราะอากาศวันนี้ฟ้าไม่สดใส คิดว่าคงจะไม่ได้ภาพสวยๆ ซะแล้ว
อ้าว! ห้ามตกปลา แล้วตาอินกะตานา เมื่อสักครู่นี้ แอบตกปลากันนะซิ!
เริ่มมืดแล้ว ก็อยากจะรีบเดินกลับไปทางออก เพื่อนั่งรถไฟใต้ดินกลับไปโรงแรม เพราะต้องพาเพื่อนไปหม่ำซูชิร้านอร่อย ที่ติดใจจากทริปคิวชู เมื่อปลายปีที่แล้ว ที่เพื่อนอีกคนพาเราสองคนมาที่ร้านนี้
สำหรับใครที่มาเที่ยวฟุกุโอกะแล้ว อยากได้ที่ท่องเที่ยวเสริมในโปรแกรม อยากแนะนำสวน Ohori-koen แห่งนี้ หรือจะแวะมาจิบกาแฟชมสวน ก็มีร้าน Starbucks ให้เช็คอินด้วย
ผมกลับจากสวนมายังโรงแรม จากนั้นเราก็เดินจากโรงแรมแค่ประมาณ 10 นาที มาที่ห้างสรรพสินค้า Solaria Stage (大画面前) และลงมาที่ชั้นใต้ดิน Tenjin Underground B2 จะเจอร้านซูชิสายพาน ชื่อ "เฮียวตันซูชิ" (ひょうたん寿司 本店) ไม่ต้องตกใจว่า มีคนมานั่งรอคิว ขยับไปเรื่อยๆ คล้ายกับกำลังเล่นเก้าอี้ดนตรีกันอยู่
เพื่อซูชิที่สดอร่อย และราคาไม่แพง คุ้มค่า ยังไงก็ยอมรอ แต่ไม่นานนักประมาณ 10 นาที ก็ได้ที่นั่งในร้าน ซึ่งนั่งที่โต๊ะและมีเชฟคอยเตรียมข้าวปั่นหน้าต่างๆ (Sushi) เพื่อวางบนสายพาน หรือ เราก็สามารถเลือกสั่งจากเมนูได้ ซึ่งเชฟก็จะนำมายื่นเสริฟให้ด้วยรอยยิ้ม
เอร็ดอร่อยกับความสดของ กุ้ง หอย ปู ปลา กันอย่างอิ่มหนำสำราญรวม 2 คน กับ 13 จาน (รวม 3,780 เยน หรือ พันกว่าบาทเท่านั้น คุ้มค่ามาก) และชาเขียวร้อน กดเติมน้ำร้อนได้จากก๊อกที่อยู่ตรงหน้า
รวมทั้งจานเด็ดจานนี้ ซึ่งเป็น "ซูชิเนื้อม้า" ราคาเพียง 300 เยน หรือ ร้อยกว่าบาท โดยตอนแรกก็กลัวว่าจะเหนียว หรือมีกลิ่นสาบหรือไม่ แต่พอได้ลองแล้ว เนื้ออร่อยนุ่มมาก และไม่มีกลิ่น สรุปว่า "โออิชิ" .. "สุโก้ย" (อร่อยสุดยอดมากๆ) ซึ่งเคยดูจากรายการทีวีว่า ม้าที่นำมาแล่เนื้อสำหรับรับประทาน จะเป็นม้าที่เลี้ยงเพื่อทานเนื้อโดยเฉพาะ และเลี้ยงในแถบภูเขาไฟ Aso ในเกาะคิวชู (Kyushu) จึงถือโอกาสลองชิม และก็ติดใจซะแล้ว แต่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ จะร้อง "ฮวี้!" เหมือนกับม้าหรือไม่? ไว้มาติดตามบันทึกการเดินทางกันต่อนะ