บันทึกการเดินทาง : 21/10/2559 | Tenjin > Hakata Station > Takeoonsen Station > Ureshino
หากใครที่มาเที่ยวที่เกาะคิวชู (Kyushu) และเป็นผู้ที่ชื่นชอบรถไฟ อยากแนะนำให้วางแผนการเดินทางด้วยรถไฟ ซึ่งมีขบวนที่น่ารักมุ้งมิ้งอยู่หลายขบวน หนึ่งในนั่น คือ ASO BOY ซึ่งตั้งใจไว้นานแล้วที่จะมาสัมผัสดูสักครั้ง ซึ่งเอนทรีนี้จะพาเที่ยวชมตั้งแต่หัวขบวนถึงท้ายขบวนกันเลย
เช้านี้จะต้องไปขึ้นรถไฟในเวลา 10:00 น. ซึ่งเราก็เช็คเอ๊าท์จากโรงแรม Hotel MyStays Fukuoka-Tenjin ก็ลากกระเป๋าลงรถไฟใต้ดิน Subway จากสถานี (K08) Tenjin ไปยังสถานี (K11) Hakata โดยซื้อตั๋วจากตู้ในราคา 200 เยน และยังพอมีเวลาสำหรับอาหารเช้ากับกาแฟ
พอเวลา 09:35 เราก็ยื่น North Kyushu Pass ให้เจ้าหน้าที่ตรวจและเดินเข้ามา เพื่อตรงไปยังชานชาลาที่ 6 ซึ่งเราต้องมารอรถไฟดีกว่า เพราะรถไฟไม่รอเรา แต่ก็ยังมีความงงกับจุดที่รถไฟจอดเพราะในตั๋วบอกว่า เราขึ้นรถขบวนที่ 4 (Car 4) ซึ่งชานชาลา จะมีป้ายเป็นภาษาญี่ปุ่น บอกว่ารถขบวนที่เท่าไร สำหรับรถที่มีจำนวนโบกี้สั้นหรือยาวไม่เท่ากัน ทำให้ยังงงในจุดนี้ แม้จะขึ้นรถไฟมาหลายครั้ง แต่ก็ยึดหลักที่ว่า ขึ้นผิดไม่เป็นไร ค่อยๆ เดินบนรถไฟ ไปตั้งโบกี้ืั้ถูกต้อง ซึ่งดีกว่าการเดินอยู่ข้างล่าง และรถไฟแล่นออกตรงเวลา 10:00 น.
ประมาณ 09:55 รถไฟก็มาถึง เราก็เดินขึ้นและวางกระเป๋าเดินทางไว้ช่องใกล้ประตู และเดินไปยังที่นั่งหมายเลข 5-A และ 5-B ซึ่งรถไฟขบวนนี้ต้องจองที่นั่งล่วงหน้า (Reserved Seat) เท่านั้น ซึ่งก็ได้จองตั้งแต่เมื่อวานที่ซื้อ Pass แล้ว เพราะรถไฟขบวนพิเศษ มักจะมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการกันจำนวนมาก ทำให้ต้องมีการจองที่นั่งล่วงหน้า
รถไฟ ASO BOY นี้ ถือเป็นรถไฟขบวนที่น่ารักมุ้งมิ้งที่สุดในคิวชู เป็นหนึ่งในผลงานการออกแบบของ "เอจิ มิโตะโอกะ" ซึ่งปกติแล้วจะวิ่งในเส้นทางสู่เมืองอะโสะ ที่ตั้งของภูเขาไฟ (Mt. Aso) ซึ่งเป็นภูเขาไฟใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นที่ยังคงปะทุอยู่
แต่อย่างที่เราได้ข่าวเมื่อ 14 เมษายน ปีนี้ ที่เกิดแผ่นดินไหว 6.4 และ 6.0 แมกนิจูด บริเวณเมืองคุมะโมโตะ เกาะคิวชู ทำให้มีผลกระทบกับการท่องเที่ยว และมีการโปรโมทให้มาเที่ยวเกาะคิวชูกัน จึงมีการนำรถไฟขบวนนี้มาแล่นในเส้นทางนี้ เพื่อไปยังสวนสนุกธีมพาร์ค Huis Ten Bosch ถึงเดือนธันวาคมปีนี้ และดึงนักท่องเที่ยวกลับมาเกาะคิวชูกัน
มีที่นั่งโซฟา บริเวณ Lounge บริเวณ Car 4 นั่งชมวิวนอกหน้าต่างได้ และยังมีที่นั่งหัวและท้ายขบวนแบบ Panorama Section (Car 1 และ Car 4) ที่นั่งแถวละ 3 ตัว มองวิวได้รอบ 180 องศา
ทำให้เราได้รับอานิสงฆ์ไปด้วยในทริปนี้ ที่ได้สัมผัสรถไฟในฝันของเด็กๆ และไม่เด็กอย่างเรา จึงหยิบโทรศัพท์มือเดินพาเที่ยวชมรถไฟ และถ่ายทอดสดผ่าน Facebook Live ดีกว่า เชื่อว่าถูกใจเด็กๆ อย่างแน่นอน
หรือใครอยากเดินชมเองผ่าน Google Street View ก็ได้นะ ขอนำมาฝากกัน เดินเล่นได้เลย
ชื่นชอบในการออกแบบ เหมือนกันได้ผ่อนคลายในรถไฟของสวนสนุก มีหลากหลายบรรยากาศภายในรถไฟขบวนนี้ แม้จะเป็นที่นั่งปกติ (Coach Seats) สีแดงสดใส
มีสระเล็กๆ ที่มีลูกบอลไม้กลมๆ (Wood-filled Pool) สำหรับเด็กน้อยลงไปเล่นได้แบบไม่เปียก อีกทั้งที่นั่งสีครีมที่ดูแล้ว เหมือนอยู่ในยานอวกาศ
ยังมีชั้นวางหนังสือและสมุดภาพ รวมทั้งสมุดภาพเกี่ยวกับเจ้าตูบ Kuro ซึ่งเป็นการปลูกฝังให้เด็กๆ รักการอ่านไปด้วย
รวมทั้งยังมีร้านขนมและเครื่องดื่ม (Kuro Cafe) มองดูแล้ว อยากให้นำมาประยุกต์กับรถไฟขบวนใหม่ในบ้านเรา และสนับสนุนให้เดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟในบ้านเราให้มากขึ้น ที่ยังคงต้องฝึกเรื่องการตรงเวลา การรักษาความสะอาด และความปลอดภัยต่างๆ
มานั่งรถไฟ ASO BOY ทั้งที ต้องเก็บภาพประทับใจพร้อมวันที่ซะหน่อย แช๊ะ!
เนื่องจากเราต้องลงกลางทาง ซึ่งไม่ได้ไปถึง Huis Ten Bosch จึงเปิด Google Maps มาดูว่าถึงไหนแล้ว และจุดหมายของเราคือ "Takeoonsen Station"
ซึ่งรถไฟแล่นและแวะแต่ละสถานีตรงเวลาจริงๆ ทำให้การวางแผนท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นนั้น ทำได้ง่ายมากๆ เพราะเราต้องปรับตัวเราเข้ากับตารางเวลาทุกอย่าง
มองวิวนอกหน้าต่าง พักสายตาได้อย่างดี ซึ่งในช่วงกลางเดือนตุลาคม ทุ่งนาจะกลายเป็นสีทอง รอการเก็บเกี่ยวก่อนเข้าสู่ฤดูหนาวอีกครั้ง
พอใกล้ถึงสถานีปลายทาง เราก็เดินมาที่กระเป๋าเดินทาง เพื่อเตรียมลากลงชานชาลา
ต้องขอบคุณเจ้า Kuro ที่พาเรามาส่งยังจุดหมายด้วยความประทับใจ
ไม่นานนักเจ้า Kuro ก็เดินจากไป เราก็ต้องลากกระเป๋าลงลิฟท์มาที่ชั้นล่างของสถานี และลากกระเป๋าต่อไปยังป้ายรถบัสที่อยู่ข้างๆ สถานีรถไฟ
อ่านตารางเวลารถบัส แบบเดาๆ ดูชั่วโมง และนาที จะรู้ว่ารถบัสจะมาถึงเวลาไหน
นั่งรอไม่นานนัก รสบัสก็มาถึงซึ่งวิธีใช้รถบัสนั่นไม่ยาก ให้ขึ้นที่ประตูกลางรถ (ประตูหน้าไว้สำหรับลงเท่านั้น) และหยิบบัตรเล็กๆ จากเครื่องที่บริเวณทางขึ้นในตัวรถ เพื่อเก็บไว้ยื่นตอนจ่ายก่อนลงรถ คนขับจะได้ทราบว่าเราขึ้นจากป้ายไหน และจะมีตัวเลขค่ารถจำนวนเงินขึ้นบนจอหน้ารถ ทำให้เราทราบถึงค่ารถ และสำหรับใครที่ไม่มีเศษเหรียญพอ ก็สามารถวางธนบัตรหรือจะมีเหรียญด้วยก็ได้พร้อมกับตั๋วที่เราหยิบในตอนขึ้นมาบนรถ ซึ่งคนขับรถจะช่วยทอนให้ อีกอย่างที่เชื่อว่าเรากังวลว่าถึงจุดหมายป้ายไหน ผมจะเปิด Google Maps ไปด้วย ซึ่งได้ปักหมุดมาจากบ้านแล้ว ทำให้เราทราบว่าจะถึงจุดหมายแล้วหรือยัง แค่นี้ก็เที่ยวเองได้สนุก โดยใช้เครื่องมือที่สำคัญ คือ Google นั่นเอง
นั่งรถบัสมาประมาณ 30 นาที ก็มาถึงศูนย์รถบัส เมืองอุริชิโนะ (Ureshino) ซึ่งเป็นเมืองออนเซ็นผิวดี ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศญี่ปุ่น ไว้จะพาไปรีวิวในตอนต่อไป แต่ทว่าเวลานี้เริ่มหิวแล้วนะซิ
ต้องเดินตามหาร้านอาหารที่มีชื่อเสียงของเมืองแห่งนี้ ชื่อ "Souan Yococho" ซึ่งขายเต้าหู้ในน้ำแร่ออนเซ็น โดยดูจาก Google Maps แล้ว และเก็บรูปร้านไว้ในมือถือเผื่อไว้ ซึ่งก็มีประโยชน์เพราะพยายามเดินมองหาตามซอยเล็กๆ ก็ไม่เจอซะที จึงเปิดภาพร้านสอบถามคนญี่ปุ่น ซึ่งเขาก็ชี้ไปว่าอยู่ข้างหน้าแล้วเลี้ยวซ้ายก็ถึง พร้อมกับคำว่า "สุโก้ย" และยกนิ้วโป้งบอกว่าร้านนี้อร่อยสุดยอดบอกเราอีกด้วย
ก่อนถึงร้านเต้าหู้ในน้ำแร่ออนเซ็น ได้พบกับ สปาเท้า และอบไอน้ำเท้า (Yushuku Hiroba) จึงขอแวะชมซักหน่อย ซึ่งเปิดให้บริการฟรีตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 เพียงแค่พับขากางเกงและนำเท้าวางลงในลังไม้ ก็จะได้รับไอน้ำธรรมชาติ สร้างความอบอุ่นให้เท้า
ถึงร้านแล้ว ก็ถึงเวลาความอร่อยจึงเลือกสั่งแบบชุด ราคา 1,080 เยน เสริฟมาพร้อมข้าวและเครื่องเคียง ได้ซดน้ำซุปที่ได้เต้าหู้ค่อยๆ ละลายในปาก นุ่มมากๆ อร่อยสร้างความอุ่นให้ร่างกายได้ดี ซึ่งอากาศเย็นและมีฝนตกปรอยๆ อยู่ข้างนอกร้าน
เติมพลังอิ่มแล้ว ซึ่งบ่ายวันนี้จะมีโปรแกรมไปแช่ออนเซ็น ระหว่างที่รอเช็คอินโรงแรม โดยเมือง Ureshino แห่งนี้ มีน้ำแร่ออนเซ็นที่มีชื่อเสียงด้านช่วยให้ผิวพรรณดี เพราะมีโซเดียมผสมอยู่ จึงมีสภาวะเป็นอัลคาไลน์อ่อนๆ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และในเมืองนี้ยังมีโรงอาบน้ำกว่า 12 แห่ง อีกด้วย
หากใครชื่นชอบการแช่ออนเซ็นขอบอกว่า อย่าพลาดมาแช่ที่เมือง Ureshino ในจังหวัด Saga แห่งนี้ และยังพยายามเก็บสะสมลายฝาท่อที่มีชื่อพร้อมภาพสัญลักษณ์ของเมืองนั้นๆ อย่างในฝาท่อนี้ จะมองเห็นกาน้ำชากำลังรินชาเขียว เพราะว่าเมือง Ureshino แห่งนี้ โด่งดังเรื่องชาเขียวที่ดีที่สุด อันดับที่ 1 ของประเทศญี่ปุ่น (No. 1 Japanese Green Tea)
หลังจากทานอิ่มแล้ว ก็ลากกระเป๋าไปประมาณ 300 เมตร ก็ถึงโรงแรมแบบเรียวกัง ชื่อ Ryokan Oomuraya ซึ่งทางโรงแรมก็เตรียมต้อนรับแต่ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน จึงขอฝากกระเป๋าเดินทางไว้ก่อน แล้วเดินไปแช่ออนเซ็นที่อาคารหลังคาแหลม Siebold No Yu
ก่อนกลับมาพักผ่อนและทานอาหารที่โรงแรมแบบเรียวกังแห่งนี้ ไว้จะมารีวิวในเอนทรีต่อไป แต่ตอนนี้ขอตัวไปแช่ออนเซ็นในอาคารหลังคาแหลมที่แสนน่ารักก่อนนะ ซึ่งมีประวัติศาสตร์เก่าแก่ยาวนานอีกด้วย