บันทึกการเดินทาง : 21/10/2559 | Ureshino > Siebold No Yu > Ryokan Oomuraya > Takeoonsen Station
ด้วยความชื่นชอบการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีความหลากหลายทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม อาหาร และอีกอย่างหนึ่งคือ "ออนเซ็น" ซึ่งญี่ปุ่นได้ชื่อเรื่องบ่อน้ำร้อนที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุเป็นจำนวนมาก
และหนึ่งในออนเซ็นที่มีชื่อเสียงโดยเฉพาะเรื่องน้ำแร่เพื่อผิวสวย ไม่ว่าจะจัดอันดับอย่างไร Ureshino Onsen (嬉野温泉) ก็ติดอันดับ 1 ใน 3 อย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นออนเซ็นอันดับ 1 ของจังหวัด Saga ซึ่งทำให้ทริปนี้ ต้องมาพิสูจน์กันหน่อยทั้งที่เคยไปแช่ออนเซ็นมากมาย และที่นี่จะมีความแตกต่างอย่างไร
หลังจากฝากกระเป๋าที่ Ryokan Oomuraya เนื่องจากมาก่อนเวลาเช็คอิน ก็ได้เวลาเดินไปแช่ออนเซ็นกันที่ Siebold No Yu ซึ่งเป็นออนเซ็นสาธารณะกันก่อน และถือเป็นออนเซ็นที่เก่าแก่มีประวัติยาวนาน แต่อาคารที่เห็นนี้มีการบูรณะขึ้นใหม่และเปิดให้บริการเมื่อ 1 เมษายน ปี ค.ศ. 2010
เป็นอาคารในรูปแบบ Taisho-style และอาคารแบบศิลปะ Gothic แบบ 2 ชั้น ตั้งอยู่ข้างๆ สวนสาธารณะ Ureshino Onsen Park ริมแม่น้ำ ซึ่งอาคารใช้หลังคาสีส้มเหมือนย้อนกลับในยุคสมัยโบราณของสถานที่แห่งนี้
เดินเก็บภาพบรรยากาศที่สวนแห่งนี้ มองเห็นอาคารแบบญี่ปุ่น และอาคารสไตล์ Gothic ที่ทำให้ดูโดดเด่นแตกต่าง อาจจะเรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์กของเมืองนี้ก็ว่าได้
ฝนยังโปรยปรายอยู่ ก็ไปแช่ออนเซ็นให้ผิวสวยกันดีกว่า รอฝนหยุดแล้วค่อยมาเดินเล่น ซึ่งเมืองแห่งนี้มีสถานที่แช่ออนเซ็นอยู่หลายแห่ง แต่ไม่อยากให้พลาดที่ Seibold No Yu และที่ Tourist Information Center มีบัตรที่ใช้สำหรับแช่ได้หลายๆ แห่ง แต่ผมแนะนำว่ามาแช่ที่นี่ และตอนกลางคืนกับพรุ่งนี้เช้า ก็แช่ที่เรียวกังที่เราพัก ก็น่าจะเพียงพอ
เดินเข้าไปใน Siebold No Yu และหยอดเหรียญเพื่อซื้อตั๋วเข้าแช่ออนเซ็นในราคา 400 เยน ต่อคน (ผู้ใหญ่) จึงจัดแจงไปแช่ออนเซ็นให้สบายตัวซัก 1-2 ชั่วโมง แช่ไปมองชมวิวภายนอกริมแม่น้ำ ซึ่งเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงเรียกว่า ออนเซ็นผิวสวย "Bihada no Yu" เนื่องจากน้ำที่แช่ไม่เหมือนที่อื่นที่เคยแช่มาก่อน ลองนึกความรู้าึกเหมือนเรากำลังแช่อยู่ในสระน้ำที่ลื่นเหมือน Baby Oil ลูบไล้ไปทั่วร่างกาย
เป็นประสบการณ์ของการแช่ออนเซ็นที่เมือง Ureshino Onsen แห่งนี้ที่ไม่เหมือนที่อื่นๆ ที่ผ่านมา บอกได้เลยว่า รู้สึกผิวลื่น ผิวเด้ง กระจ่างใส ขึ้นในทันใด ... น่าจะโมษณาเกินจริงไป แต่รู้สึกดีจริงแล้วกัน
หลังจากแช่เสร็จก็ถือโอกาสเดินชมชั้นบนภายใน Siebold No Yu ซึ่งมีการเก็บข้าวของเครื่องใช้ และภาพต่างๆ ในอดีต ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินในพิพิธภณฑ์เล็กๆ ก่อนเดินออกไปถ่ายภาพภายนอกโดยรอบ ก่อนจะเดินกลับไปที่เรียวกัง
บรรยากาศหลังฝนและมีเมฆหมอกลอยต่ำรายรอบไปด้วยภูเขา เป็นภาพที่สวยงามจริงๆ ใช้โทรศัพท์มือถือเก็บภาพประทับใจไว้แบบรัวๆ
เป็นเมืองที่เงียบสงบ เหมาะแก่การมาเที่ยว ในวันที่มาไม่เจอคนไทยเลย และเจอแต่ชาวญี่ปุ่นทั้งคนในเมืองนี้ และชาวญี่ปุ่นที่มาจากเมืองอื่น เพื่อมาแช่ออนเซ็น
ประมาณ 5 โมงเย็น เราก็กลับเข้ามาเช็คอินและมาที่ห้องพัก
ซึ่งบรรยากาศนอกหน้าต่างมองเห็นแม่น้ำ Ureshino และทิวเขาสวยงามพร้อมเมฆฝนที่ลอยต่ำ อากาศที่สดชื่นสูดได้เต็มปอด
ยังพอมีเวลาซัก 1 ชั่วโมงก่อนอาหารค่ำที่มาเสริฟถึงห้องพัก จึงขอหยิบกล้องและโทรศัพท์มือถือ ไปเก็บภาพ Siebold No Yu ยามค่ำซะหน่อย
ได้แสงสีสวยช่วยให้ภาพมีสีสันขึ้น ทั้งสะพานและอาคาร ... ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1826 นักธรรมชาติวิทยาและแพทย์ชาวเยอรมันนามว่า Siebold ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าโชกุน ในระหว่างนั้นได้มีโอกาสแวะที่ อุเระชิโนะ (Ureshino) และได้เข้าแช่ออนเซ็น
หลังจากการเดินทางครั้งนั้น ได้มีการเขียนบอกเล่าเหตุการณ์ลงในบันทึกการเดินทางเอโดะ จึงนําไปสู่การสร้างสวนแบบญี่ปุ่นออนเซ็นจากหินธรรมชาติและอ่างแช่เท้าที่ถูกตั้งชื่อตามเรื่องราวเหตุการณ์ในตอนนั้น
ได้เวลาอาหารค่ำแล้ว จึงเดินกลับมาที่เรียวกัง Ryokan Oomuraya สำหรับผู้ที่วางแผนมาเที่ยวญี่ปุ่น อยากแนะนำให้อย่างน้อย ต้องพักแบบเรียวกับสักหนึ่งคืนในแต่ละทริป โดยรวมอาหารคำและอาหารเช้า (Half Board) ซึ่งจะได้สัมผัสประสบการณ์ความเป็นญี่ปุ่นอย่างเต็มที่
คุณยายใจดีวัย 70 ก็นำน้ำชาเขียวมาเสริฟพร้อมขนมทานแกล้ม ซึ่งเมือง Ureshino แห่งนี้ ได้ชื่อว่า "มีชาเขียวดีที่สุด ติดอันดับที่ 1 ของประเทศญี่ปุ่น"
ไม่นานนัก คุณยาย ก็นำมาอาหารมาเสริฟอย่างแคล่วคล่อง ไม่น่าเชื่อว่าทานจะอายุ 70 ปี แล้ว แต่ยังแข็งแรงมาก จนเรารู้สึกเกรงใจต้องเข้าไปช่วย
ได้เวลาอาหารค่ำ เรียกว่าจัดวางได้สวยงาม หลากหลายถ้วยเล็กถ้วยน้อย ชวนให้บันทึกภาพก่อนชิม มองเห็นถึงความตั้งใจ ความใส่ใจในการสร้างสรรค์เมนูต่างๆ ไม่เพียงความสุขในการรับประทาน แต่เป็นความสุขทีได้เห็นอีกด้วย
เป็นเหตุผลสำคัญของการมาเที่ยวญี่ปุ่น ต้องใส่ชุดยูกะตะ รับประทานอาหารแบบ Half Board ในเรียวกัง เป็นความรู้สึกเหมือนได้ซึมซับความเป็นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีกมาก
หลังจากรับประทานอย่างอิ่มหนำสำราญ ก็นั่งดูทีวิ พักผ่อนประมาณ 30 นาที ก่อนลงไปแช่ออนเซ็นในเรียวกังแห่งนี้ ซึ่งได้ชื่อเรื่องน้ำแร่ที่ช่วยให้ผิวสวย งั้นขอตัวไปซ่อมแซมผิว กระชากวัยให้อ่อนวัยซะหน่อย
จัดแจงแปลงกายในชุดยูกะตะ นำถุงใส่ผ้าผืนเล็ก และผ้าเช็ดตัว ไปเข้าห้องแช่ออนเซ็นที่ชั้นล่าง
ออนเซ็นแห่งเมืองอุริชิโนะ (Ureshino) เป็นน้ำพุร้อนที่มีส่วนประกอบโซเดียมไบคาร์บอเนตที่โปร่งใสและไร้สี จึงถูกเรียกว่า "ออนเซ็นเพื่อผิวสวย" โซเดียมไบคาร์บอเนตที่มีส่วนผสมของโชเดียมอยู่มาก จะมีส่วนช่วยในการผลัดเซลล์ผิวหนังกําพร้าที่ตายแล้วได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยผลัดเซลล์ผิวใหม่ที่เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลออกมาได้ ซึ่งเป็นออนเซ็นที่มีชื่อเสียงและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ดูได้จากภาพเก่าเหล่านี้
ตื่นเช้ามาด้วยความสดใส และได้เวลาอาหารเช้ากันแล้ว คุณยายใจดี ก็นำอาหารมาเสริฟที่ห้องอีกเช่นเดิม
มาแบบเป็นชุดที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสำหรับเช้าวันใหม่เช่นนี้
มาถึงเมือง Ureshino ยังมีอีกหนึ่งที่สุด ก็คือ "เต้าหู้ในน้ำออนเซ็น" (Yudofu) ถือเป็นอาหารขึ้นชื่อและอร่อยสุดๆ อันดับที่ 1 ของประเทศญี่ปุ่น ด้วยความที่เต้าหู้นั้น ละลายในน้ำแร่ออนเซ็นราวกับกำลังดื่มน้ำเต้าหู้ ซึ่งแปลกและรสชาตินุ่มนวล อร่อยมาก
หลังจากอิ่มแล้ว ก็ทยอยจัดกระเป๋าและข้าวของเพื่อเตรียมเช็คเอ้าท์ตอน 10 โมง แต่ก็ฝนยังตกข้างนอก ก็ต้องลงไปแช่ออนเซ็นรอบเช้าก่อนแต่งตัวเพื่อเช็คเอ้าท์กัน
ลงมากันเกือบ 9 โมง ไม่มีใครมาแช่ออนเซ็นแล้ว ก็เลยได้ออนเซ็นส่วนตัวโดยปริยาย จึงขอแช๊ะภาพสัก 2 ภาพ ให้เห็นบรรยากาศของออนเซ็นสำหรับผิวสวยทีน้ำมีความลื่นราวกับนอนแช่ในสระน้ำมัน Baby Oil เมื่อลูบไปที่ผิวจะลื่นไม่เหมือนออนเซ็นที่อื่นๆ เป็นประสบการณ์ที่ประทับใจจริงๆ
หลังจากเช็คเอ๊าท์ เราก็ลากกระเป๋าเพื่อไปขึ้นรถบัสที่สถานี เพื่อกลับไปยังสถานีรถไฟ Takeoonsen อีกครั้ง ระหว่างทางทางเดิน ก็ถือโอกาสไปลองใช้ "ตู้อบซาวน่าเท้า" แค่เปิดฝาของตู้อบซาวน่าเท้า ก็จะเห็นช่องไว้สําหรับวางเท้ารูปวงรี จากนั้นก็นําเท้าเปล่า ทั้งสองข้างใส่เข้าไป แค่นี้เองไอน้ำของตู้อบซาวน่าเท้าจะลอยฟุ้งขึ้นมาถึงหัวเข่าเลย และควรนําผ้าขนหนูมาวางไว้บนหัวเข่าเพื่อปิดช่องไม่ให้ไอน้ำระเหยออกไปได้ หากจะให้ได้ผลดีขึ้น ควรอบเท้าทิ้งไว้สัก 10-15 นาที ไอน้ำร้อนจากออนเซ็น จะซึมเข้าไปสู่ผิวชั้นด้านในสุด หลังจากอบซาวน่าเท้าเสร็จแล้ว จะรู้สึกได้เลยว่าผิวนุ่มชุ่มชื้นขึ้นอย่างแน่นอน!
สถานที่อบซาวน่าเท้าได้นั้น ไม่ได้มีอยู่ทั่วประเทศ เรียกว่ามีค่อนข้างน้อย ดังนั้นเมื่อมาเยือนที่นี่ จึงห้ามพลาดโดยเด็ดขาด ที่นี่เปิดให้บริการฟรี ตั้งแต่ 9:00-20:00 น.
และเมื่อวานนี้ยังได้เก็บภาพ "อ่างแช่เท้า" Siebold (Yuyu Hiroba) ที่นั่งบริเวณนี้จะถูกปูด้วยแผ่นกระดานไม้รองนั่ง ทําให้บรรยากาศผ่อนคลายและดูธรรมชาติ เหมาะกับการนั่ง ชิล ชิล พักผ่อนที่สุด และที่นี่มีผู้มาเยือนจากทั่วสารทิศ ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านท้องถิ่น นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นจากจังหวัดอื่น รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วย ดังนั้นขณะที่แช่เท้าไปพลาง เราอาจจะได้พบเพื่อนใหม่และได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจากผู้คนหลากหลายอีกด้วย อ่างแช่เท้าแห่งนี้ ยังถูกเรียกว่า "สถานที่แห่งรักแรกพบ" อีกด้วย เพราะมักจะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "คู่รักที่มาพบรักแรกกันที่นี่" หากคนไหนที่ยังไร้คู่คงต้องลองมาเยือนสักครั้ง มาลองพิสูจน์กัน
หากใครชื่นชอบการแช่ออนเซ็นขอบอกว่า อย่าพลาดมาแช่ที่เมือง Ureshino ในจังหวัด Saga แห่งนี้ และเรากำลังจะไปยัง Takeo Onsen ที่มีชื่อเสียงในความเป็นออนเซ็นเก่าแก่อายุกว่า 1,300 ปี
ระหว่างลากกระเป๋า ก็แวะซื้อลูกพลับญี่ปุ่น กรอบอร่อยไว้รับประทาน และแวะร้านชาเขียว Ureshino ไว้เป็นของฝากกัน และถึงสถานี Ureshino Bus Station ก็ขึ้นรถบัสและไม่นานนักรถก็ออกเดินทางใช้เวลาราว 30 นาที ก็มาถึงเมือง Takeo อีกครั้ง .. จะพาไปชม "ออนเซ็นเก่าแก่ อายุ 1,300 ปี" ที่ประทับใจในความเป็นโรงอาบน้ำไม้ทั้งหลัง เก่าแก่สวยงาม ไว้มาติดตามกันต่อนะ