Disable Preloader




ชิล ชิล คิวชู : ตอนที่ 5 - ไปแช่ออนเซ็นเก่าแก่ 1,300 ปี ในญี่ปุ่นที่ Takeo Onsen

  บันทึกการเดินทาง : 22/10/2559 | Takeoonsen Station > Takeo Onsen > Takeo Onsen Shinkan Museum

หลังจากนั่งรถบัสจาก Ureshino Onsen เพื่อมายังสถานีรถไฟ Takeoonsen Station แล้ว เราก็ลากกระเป๋าเพื่อไปฝากยังโรงแรม Central Hotel Takeo ซึ่งไม่ไกลจากสถานีรถไฟ เนื่องจากยังไม่ได้เวลาเช็คอิน บ่ายวันนี้เราจึงวางแผนไปแช่ออนเซ็นเก่าแก่อีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ Takeo Onsen

ในตอนแรกตั้งใจว่าบ่ายวันนี้ จะไปเที่ยวที่ สวนมิฟูเนะ-ยามะ ราคุเอน (Mifune Yama Rakuen) แต่ฟ้าฝนช่างไม่เป็นใจซะเลย จึงสลับแผนไปไว้พรุ่งนี้แทน โดยดูจากพยากรณ์อากาศแล้ว บ่ายวันพรุ่งนี้จะไม่มีฝน แต่เวลานี้เราจึงต้องมานั่งจิบกาแฟที่ร้าน Hairodo Cafe ในสถานีรถไฟ เพื่อรอให้ฝนซา จิบกาแฟลาเต้ที่ชงจากเครื่องทำกาแฟ La Marzocco ซะหน่อย ถูกใจคอกาแฟอย่างเรา

เมื่อฝนเริ่มเบาลง จึงนั่งรถ Taxi ตรงไปยัง Takeo Onsen กะว่าจะไปหาอาหารอร่อยๆ ทานแถวนั้น แต่ปรากฎว่าผิดคาด ไม่มีร้านอาหารแถวนั้นเลย เดินย้อนกลับมาก็เป็นอาหารพวกแฮมเบอร์เกอร์ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาช่วย Search หาร้านราเมง กลายเป็นว่าร้านอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟที่เรานั่งหลบฝยนัก จึงเดินย้อนกลับออกมาที่ถนนหลัก ระหว่างทางเดินก็เก็บภาพบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีนิดๆ ไปด้วย

มีบ้านเรือนเก่าๆ และมีเมฆฝนลอยต่ำลงที่เนินเขา ดูแล้วเป็นบรรยากาศที่สดชื่นจริงๆ ต้องแลกความสวยงานกับฝนที่ตก ทำให้เดินด้วยความลำบากและเฉอะแฉะ

เดินไม่นานนัก ก็มาถึงร้านราเมง และเกี๊ยวซ่าแสนอร่อย ได้ซู๊ดน้ำซุปกระดูกหมูร้อนๆ แกล้มกับเกี๊ยวซ่าไส้หมูและผักที่นุ่มลิ้น เติมพลังเต็มที่ก่อนไปแช่น้ำแร่ออนเซ็นในบ่ายวันนี้

จากนั้นก็เดินย้อนกลับมาที่ประตูทางเข้า Takeo Onsen ก็ตรงไปยังแผ่นป้ายอธิบายรายละเอียดของการให้บริการของออนเซ็นแห่งนี้ ซึ่งมีรูปประกอบทำให้ง่ายในการตัดสินใจเลือก

โรงอาบน้ำ แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ โรงอาบน้ำหลัก จะเป็น Motoyu ซึ่งมีอยู่ 2 บ่อ คือ บ่อร้อน และบ่อร้อนมากๆ โดยแบ่งแยกชายหญิง มีอัตราค่าบริการที่ 400 เยน บรรยากาศภายในเหมือนเรากำลังแช่อยู่ในโกดังที่สร้างด้วยไม้ขนาดใหญ่ เสาทำด้วยไม้เก่าแก่ เพดานหลังคาสูง และรู้สึกถึงความเก่าแก่เป็นเอกลักษณ์ที่ต่างจากออนเซ็นอื่นๆ ที่เคยไปแช่มา อีกลักษณะคือ Horaiyu ซึ่งมีเป็นบ่อเดียว โดยอัตราค่าบริการที่ 400 เยน และ Saginoyu จะมีซาวน่า และ ที่แช่ออนเซ็นกลางแจ้ง ในอัตราค่าบริการที่ 600 เยน

จัดแจงหยอดเหรียญ เพื่อซื้อบัตรเข้าใช้บริการออนเซ็น รวมทั้งบัตรผ้าเช็ดตัวผืนเล็กที่มีสัญลักษณ์ของ Takeo Onsen และนำไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ก่อนเข้าไปใช้บริการ

สำหรับบล๊อกเกอร์ เลือกแบบ Motoyu ก็แทบสุก และรู้สึกสุขพอแล้ว จึงไม่ได้ไปลองให้ครบทั้ง 3 แบบ แต่มาวันนี้จะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากแวะเวียนกันมา ไม่เพียงแต่ชาวญี่ปุ่น เพราะสังเกตเห็นมีฝรั่งและชาวต่างชาติอื่นๆ อีกด้วย

มาทำความรู้จักประวัติสักเล็กน้อย Takeo Onsen (武雄温泉) เป็นเมืองออนเซ็นทางทิศตะวันตกของจังหวัดซากะ (Saga) ซึ่งมีอายุเก่าแก่ถึง 1,300 ปี และเป็นจุดหมายของผู้ที่ชื่นชอบการแช่ออนเซ็นที่อยากมาสัมผัสสักครั้ง ซึ่งน้ำแร่จะมีความลื่นราวกับแพรไหมเนื่องจากมีสาร Sodium Bicarbonate ในน้ำแร่นั่นเอง จึงดึงดูดผู้คนจากทั่วสารทิศมากว่าศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็น ขุนนางศักดินาในสมัยก่อน, ช่างฝีมือ และเหล่าทหารที่ตั้งค่ายอยู่ในแถบ Karatsu Castle ในปลายศตวรรษที่ 16

หลังจากออกจากออนเซ็น ก็ถือโอกาสไปเดินชมพิพิธภัณฑ์ (Takeo Onsen Shinkan Museum) อยู่บริเวณใกล้เคียงกัน ซึ่งเปิดให้เข้าชมได้ฟรี

แสดงถึงโรงอาบน้ำแบบโรมัน (Tiled Roman Baths) และลวดลาย Tatami สานคล้ายเสื่อทาทามิ ซึ่งในอดีตเป็นบ่อแช่ออนเซ็นของชาวเมืองแห่งนี้

สำหรับใครที่อยากลองแช่ในบ่อสี่เหลี่ยมและลวดลายคล้ายๆ แบบนี้ ก็สามารถเลือกบ่อแช่แบบ Tonosamayu Bath หรือ Karouyu Bath ซึ่งเป็นแบบบ่อส่วนตัวซึ่งทำด้วยหินอ่อน และสามารถจองแบบ The King's Bath เคยเป็นห้องที่เคยเปิดให้ขุนนางตระกูล Nubeshima ใช้เท่านั้น

ก็ต้องชื่นชมที่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญเรื่องการเก็บรักษาสถาปัตยกรรมและสิ่งของต่างๆ ไว้อย่างดี ให้สมกับเป็นเมืองน้ำพุร้อนแห่งประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่ได้เน้นจุดขายเฉพาะน้ำแร่สำหรับผิวดีเท่านั้น แต่ยังมีจุดเด่นที่ความเก่าแก่ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน

ถือโอกาสเช็คอินเก็บบันทึกสะสมไว้ ทั้งสถิติการไปรีวิวแหล่งออนเซ็นต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่น รวมทั้ง ขอสะสมภาพถ่ายฝาท่อแต่ละเมืองมาไว้ในคอลเลคชั่นอีกด้วย

หลังจากเดินชมพิพิธภัณฑ์แล้ว ก็ได้เวลานั่งรถ Taxi จากหน้าประตูแดงกลับมายังโรงแรม เพื่อเช็คอินและนำกระเป๋าขึ้นมาบนห้องพักก่อนจะมืดค่ำ

มองออกไปนอกหน้าต่างจากห้องพัก บรรยากาศในช่วงปลายฝนต้นหนาวของเมือง Takeo แม้จะเชอะแฉะแต่ก็สดชื่น ซึ่งมองเห็น Takeo Onsen ทางขวามือ ฟ้าเริ่มมืดลงอย่างรวดเร็ว ก็มองหาร้านอาหารจาก Google Maps บนโทรศัพท์มือถือ เข็ดแล้วที่นึกว่าเดินไปมั่วๆ เดี๋ยวก็เจอร้านอาหาร แต่ที่นี่เหมือนต่างจังหวัด ซึ่งต้องเดินไปกว่า 1 กิโลเมตร จากโรงแรมถึงจะมีร้านอาหาร

แต่ก็มาหยุดตรงร้าน Coco Ichibanya เพราะเคยทานข้าวแกงกระหรี่ยี่ห้อนี้ที่เมืองไทย จึงถือโอกาสมาทานแบบต้นตำรับ พอขอเมนูอาหารเท่านั้น น้ำตาจะไหล .. เมนูภาษาไทย เหมือนที่เมืองไทย ยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนกำลังนั่งทานในเมืองไทย จึงจัดแจงสั่งข้าวแกงกระหรี่ และเลือกระดับความเผ็ดมาก ให้รู้สึกแซ่บขึ้นมาบ้าง พร้อมกับสลัดมาแกล้มเข้ากันได้ดี

หลังจากอิ่มก็ได้เวลาเดินกลับเข้าโรงแรม ระหว่างทางก็เจอเข้ากับใบแปะก๊วยที่เริ่มร่วงโรย เป็นสัญญานเริ่มต้นเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ก่อนจะไปยังฤดูหนาวอีกไม่นานนัก ซึ่งก็มีแผนไปตลุยหิมะที่ แถบโทโฮคุ ในต้นปีหน้า

เป็นอีกหนึ่งวันที่ได้มาสัมผัสต่างจังหวัด เมืองที่เงียบสงบ แปลกแตกต่างจากเมืองใหญ่ที่พลุกพล่าน ถือเป็นอีกบรรยากาศที่เหมาะกับการพักผ่อนจริงๆ ซึ่งพรุ่งนี้เช้า เราจะนั่งรถไฟไปเที่ยวยังเมือง Arita (有田町) ซึ่งไม่ไกลนัก แต่จะเป็นการปรับโหมดบรรยากาศแบบยุโรปให้ต้องร้อง ว้าว! ไว้มาติดตามกันต่อนะ

Camera : Samsung Galaxy S6