Disable Preloader




ชิล ชิล คิวชู : ตอนที่ 7 - ไปลองเสี่ยงทานเนื้อปลาปั๊กเป้า เมือง Shimonoseki ของญี่ปุ่น

  บันทึกการเดินทาง : 24/10/2559 | Shimonoseki Station > Karato Market > Kokura Castle > Hakata Station

หลังจากทานอาหารเช้ากันที่โรงแรม ย่าน Tenjin-Minami ก็เดินทางมาที่สถานี Hakata ก่อนจะขึ้นรถไฟในเวลา 09:02 น. เพื่อไปยังเมือง Shimonoseki ด้วยสาย Sanyo Main Line ซึ่งต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟถึง 3 ขบวน

ซึ่งในช่วงขบวนที่ 3 เราจะได้นั่งรถไฟผ่านอุโมงค์ที่ลอดใต้ทะเลข้ามจากเกาะคิวชู มายังเกาะฮอนชู ที่เมือง Shimonoseki รวมระยะเวลา 58 นาที จากสถานี Hakata มาถึง สถานี Shimonoseki (下関駅) จากนั้นเราจึงใช้บริการ Taxi ประมาณ 3 กิโลเมตร เพื่อมายังตลาดปลา Karato (唐戸市場)

จะมองเห็นประติมากรรมหน้าตลาดปลา Karato แห่งนี้ น่าจะเป็นการการันตีได้ว่า เรามาถึงแหล่งเปิบพิศดารอาหารที่ติดอันดับอาหารที่อันตรายที่สุดเมนูหนึ่งบนโลกใบนี้

“ฟุกุ” (ปลาปักเป้า) เป็นของขึ้นชื่อในหมู่ชาวญี่ปุ่นในฐานะอาหารชั้นสูง เนื่องจากปลาปักเป้ามีพิษอยู่ในอวัยวะภายใน จึงมีเฉพาะเชฟที่มีใบอนุญาตพิเศษเท่านั้น ฤดูจับปลาปักเป้า คือ ช่วงหน้าหนาว ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงมีนาคม วิธีการปรุงปลาปักเป้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ ซาชิมิ ที่เรียกว่า “ฟุกุ-ซาชิ” ซึ่งปลาจะถูกแล่บางมากๆ จนเกือบโปร่งแสง เมื่อนำมาจัดวางบนจานใบใหญ่ ที่ตกแต่งแล้วก็จะดูราวกับเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่ง โดยปกติปลาปักเป้าแล่ จะถูกจัดเรียงเป็นรูปวงกลมให้ดูเหมือนดอกไม้บานดอกใหญ่ แต่สำหรับจานนี้อาจดูยังไม่เป็นดอกไม้มากนัก เพราะจัดมาในราคา 1,300 เยน แต่ถ้าแบบดอกไม้บานดอกใหญ่ สนนราคา 10,000 เยน และเราสองคนคงทานไม่หมดแน่นอน

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เดินทางมาตลาดปลาแห่งนี้ แต่ทว่าไม่ได้ชิมปลาปัีกเป้าในครั้งที่แล้ว ด้วยความกลัวนิดๆ มาครั้งนี้จึงต้องร้องเพลง "รู้ว่าเสี่ยง จึงต้องขอลอง" ก่อนคีบชิ้นปลา “ฟุกุ” เข้าปาก แต่ก็รอดมาได้อย่างปลอดภัย

ไม่เพียงแต่ได้ชิมปลาปั๊กเป้าที่ตลาดแห่งนี้ เรายังได้ชมวิวทะเลสวยๆ มองเห็นสะพานคันมง 関門橋 (Kanmon Bridge) สะพานแขวนสไตล์โอเรียนเต็ลนี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1973 เชื่อมต่อ Shimonoseki’s Dan-no-ura และ Kitakyushu’s Moji-ku ward ด้วยความยาวของสะพานรวม 1,068 เมตร กว้าง 712 เมตร สูงจากทะเล 61 เมตร และสะพานแห่งนี้เป็นหนึ่งในสะพาน 6 เลนที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออก ถูกเลือกให้เป็นสัญลักษณ์ของช่องแคบ Kanmon (Vast Kanmon Strait)

หากเดินมาทางด้านขวาของตลาด สามารถเดินตรงไปยังท่าเรือที่สามารถพาข้ามไปเที่ยวที่เมืองโมจิโกะ (Mojiko Retro Town) ซึ่งท่าเรือโมจิโกะนั้นเปิดมามากกว่า 120 ปี ถือเป็นท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับสามรองจาก โกเบ (Kobe) และ โยโกฮาม่า (Yokohama) หากใครมาเที่ยวบริเวณนี้ ขอแนะนำให้จัดเวลาสัก 3 ชั่วโมง เพื่อท่องเที่ยวในบริเวณเมืองโมจิโกะ ซึ่งได้พบกับสถาปัตยกรรมโบราณที่ยังคงสวยงามอยู่มาก

ซึ่งได้มีโอกาสไปท่องเที่ยว่เมืองโมจิโกะ เมื่อทริปท่องคิวชูครั้งที่แล้ว ไว้จะนำภาพและบันทึกการเดินทางมาฝากในโอกาสต่อไป แต่ขอแวะร้านกาแฟชื่อ Takada Coffee ซึ่งติดใจในรสชาติจากทริปที่แล้ว

ด้วยความที่ชอบดื่มกาแฟ จึงพยายามมองหาร้านกาแฟในญี่ปุ่น เพราะหลายๆ ร้านจะเป็นร้านกาแฟตัวจริง คือ มีการคั่วเม็ดกาแฟเอง ทำให้มั่นใจว่าจะได้จิบกาแฟที่อร่อยอย่างแน่นอน จิบกาแฟไป มองวิวทะเลนอกหน้าต่างไปด้วย

ดังนั้นทริปนี้ เราไม่ได้เที่ยวที่เมืองโมจิโกะซ้ำอีก แต่ตั้งใจจะไปเที่ยวในเมืองคิตะคิวชู (Kitakyushu) ซึ่งมี ปราสาทโคคูโระ (Kokurojo) ถูกสร้างมานานแม้จะไม่สามารถระบุที่มาที่ชัดเจนได้ แต่ตัวปราสาทได้ถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อประมาณ 400 กว่าปีก่อนช่วงปี ค.ศ.1600 โดยไดเมียวโมริ คัทสุโนบุ ผู้ครองแคว้นฟูกุโอกะและเบบปุในสมัยนั้น จนกลายมาเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมการสร้างปราสาทของทั่วประเทศญี่ปุ่น

อาคารปราสาทหลักถูกทำลายลงเมื่อปี ค.ศ. 1865 และได้ถูกสร้างขึ้นใหม่อีกครั้งเมื่อปี ค.ศ. 1954 สูง 5 ชั้น หลังคามี 4 ระดับได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีข้อมูลและประวัติศาสตร์บริเวณนี้ โดยจะมีทั้ง วัตถุโบราณ ชุดกิโมโน ชุดซามูไร โมเดลจำลองของบ้านเมืองสมัยโบราณ ตัวอย่างห้องของโชกุน ห้องชมภาพยนตร์ งานแสดงศิลปะ และจุดชมวิวที่ชั้นบนสุด

ติดกับบริเวณปราสาททางทิศตะวันออก จะมีสวนญี่ปุ่นตั้งอยู่ ซึ่งภายในจะแบ่งออกเป็น 3 โซนใหญ่ๆ คือ ส่วนที่เป็นสวนแบบญี่ปุ่น ส่วนที่เป็นอาคารไม้ตั้งอยู่ริมบึงของสวนที่เอาไว้นั่งจิบชา ชมสวน พร้อมกับวิวปราสาทด้วย และส่วนสุดท้ายที่จะเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม

เมื่อเดินออกจากบริเวณปราสาท ก็จะมีทางเชื่อมตรงไปยัง Shopping Mall ขนาดใหญ่ที่มีชื่อว่า "Riverwalk Kitakyushu" จึงถือโอกาสแวะหม่ำราเมงร้อนๆ เป็นมื้อกลางวัน เพื่อเติมพลังกันซะหน่อย

หลังจากนั้น พอมีเวลา เราจึงเดินเท้ามาเรื่อยๆ เพื่อกลับมายัง Amu Plaza Kokura ซึ่งเป็น Shopping Mall อีกแห่งและมีสถานีรถไฟ Nishikokura ตั้งอยู่ด้านล่าง

ก่อนเดินทางกลับมายังสถานีรถไฟ เพื่อนั่งกลับเข้าสู่เมืองฟุกุโอกะ ซึ่งค่ำนี้เรามีนัดกับร้านซูชิที่ย่านเทนจิน ที่ได้มาเปิบพิศดาร เนื้อม้าดิบ เมื่อสามวันก่อน ถ้ากระเพาะพูดได้คงจะบ่นว่า เช้าเปิบปลาปั๊กเป้าดิบ ค่ำเปิบเนื้อม้าดิบ ตกลงนี่คนหรือปอปกันแน่

ด้วยความรู้สึกทุกครั้งในการเดินทางทุกทริปนั้น เป็นการเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เทคโนโลยีสื่อสารสะดวกมาก ทำให้เราก็สามารถติดต่อสื้อสารกับลูกค้าและทำงานไปด้วย พร้อมๆ ไปกับการท่องเที่ยวเพื่อเติมพลังในการทำงาน ในการใช้ชิวิต เพิ่มประสบการณ์และข้อมูลในการแลกเปลี่ยน แบ่งปันกับผู้อื่นได้อีกด้วย

เขียนบันทึกการเดินทางที่ย้อนกลับมาอ่าน หรือดูภาพ ก็หวนรำลึกถึงสถานที่แห่งนั้นได้เสมอ มีความสุขและสนุกกับการท่องเที่ยวกับเพื่อนที่เดินทางไปด้วยกัน

ดังนั้น ชีวิตเหมือนการเดินทาง ต้องก้าวไป มีปัญหาก็แก้ไขไป ช่วยให้เรากล้าตัดสินใจ กล้าวางแผน และสิ่งที่ได้คืนกลับมาคุ้มค่าเสมอจากสิ่งที่ได้เรียนรู้ ดังนั้น ตราบใดที่ยังมีแรงเดิน จงอย่าหยุดเดิน

อาจไม่ต้องวิ่งให้เร็วเหมือนม้า แต่เดินช้าๆ ก็ถึงจุดหมายได้เหมือนกัน ... ว่าแล้วก็ของคืบ ซูชิเนื้อม้า พร้อมวาซาบิสด แตะโชยุนิดๆ เข้าปากซักชิ้น เผื่อจะแข็งแรง วิ่งเร็วเหมือนม้าบ้าง

"เนื้อม้า" คำแรกผ่านไป ขอหยิบ "กั้ง" มารับประทานต่อ ด้วยความหวานของเนื้อกั้งที่สดอร่อย แบบไม่ต้องจิ้มอะไรเลย ก็รู้สึกถึงความอร่อย

ไปร้านซูชิที่ไหน ก็อดนึกถึงร้าน "Hyotan Sushi" แห่งย่าน Tenjin แห่งนี้ไม่ได้ ด้วยความเป็นกันเองของพ่อครัวที่บรรจงเตรียมและเสริฟซูชิให้ด้วยความยิ้มแย้มเป็นกันเอง

หลังจากอิ่มหนำสำราญ ก็เดินย่อยกลับมายังโรงแรมที่พักในย่าน Tenjin-Minami ก่อนจะแวะเข้าห้องพักสักครู่ ก่อนเดินไปเที่ยวบริเวณริมแม่น้ำ ไปชมบรรยากาศยามค่ำคืน

ซึ่งเดินข้ามสะพานไปก็จะเดินอีกเพียงเล็กน้อยถึงห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์ คือ Canal City Hakata ซึ่งเราก็ได้มาเดินเล่นวันก่อนแล้ว

แต่คืนนี้ตั้งใจจะเดินเล่นเก็บภาพบรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ พบกับ Yatai Food Stall ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองฟุกโอกะอีกด้วย หรือร้านอาหารเล็กๆ คล้ายกับ Street Food ในบ้านเรา

รวมถึงการแสดงเปิดหมวกเล่นดนตรีในบรรยากาศที่เย็นสบายตามทางเดินริมแม่น้ำ

หลังจากเดินเล่นซักพักก็เดินกลับมาโรงแรม โดยเลือกเดินเป็นเส้นทางสีเหลี่ยมโดยไม่ย้อนทางเดิม จะได้ชมวิวบรรยากาศแบบไม่ซ้ำเพื่อบันทึกภาพไว้ ซึ่งพรุ่งนี้้เราก็ต้องเดินทางกลับบ้านแล้วในเที่ยวบินตอนเช้า จึงเก็บเกี่ยวบรรยากาศอย่างเต็มอิ่ม

เช้านี้เราต้องบินในเวลา 10:30 น หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม ไม่พลาดเมนูไข่ปลาค๊อดที่เค็ม แต่มาฟุกุโอกะแล้วต้องห้ามพลาดเมนูนี้ จากนั้นก็นั่ง Taxi ตรงมายังสนามบิน

มองไปทางซ้ายพร้อมกดมือถือถ่ายภาพไปด้วย ได้ภาพประทับใจภาพนี้โดยบังเอิญ มองเห็นเด็กๆ กำลังวิ่งไปเรียนหนังสือ ในอนาคตก็จะเป็นคนในวัยทำงาน เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศในรุ่นต่อไป

ได้เวลาที่เที่ยวบิน VN 357 ออกเดินทางจาก Fukuoka ไปยัง Hanoi เพื่อแวะเปลี่ยนเครื่อง ซึ่งเดินทางถึงฮานอย ประเทศเวียดนาม ในเวลา 13:00 น และลงจากเครื่องมาพักจิบกาแฟราว 2 ชั่วโมงก่อนขึ้นเครื่องในเที่ยวบิน VN 613 เพื่อเดินทางกลับมายังสนามบินสุวรรณภูมิ

ความประทับใจหนึ่งคือ เป็นการบินแบบ Full Service โดยทั้งไป-กลับ มีอาหารรวม 4 มื้อ มีเวลาแวะพักไม่นานนัก และได้ตั๋วในราคาโปรโมชั่น ทำให้ยิ่งคุ้มเข้าไปอีก

อาหารแต่ละมื้อถือว่าอร่อยใช้ได้ ทำให้ไม่รู้สึกเหนื่อยในการเดินทางตรงที่บิน 4 ชั่วโมง ได้ลงมาเดินพักขา และไม่นานนักก็บินต่อ ทำให้เป็นทางเลือกหนึ่งที่มองหาเวลาจะเลือกเดินทางไปญี่ปุ่น

เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ ปิดทริปนี้อย่างสมบูรณ์ ไว้มาติดตามเที่ยวกันต่อนะว่าจะไปเที่ยวไหนกันอีก ขอบคุณที่ติดตามกันนะครับ

Camera : Samsung Galaxy S6