ตามมาเที่ยวกันต่อ ซึ่งยังอยู่ในช่วงเที่ยงๆ เริ่มมองหาจุดนั่งรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งได้ข้อมูลมาจากผู้ที่มาเที่ยวก่อนหน้าว่า ให้ลองเลือกทานอาหารตาม Pavilion ของประเทศต่างๆ เพราะคนจะน้อยกว่า Food Court แต่เราตกลงกันว่า เดินไป เห็นอะไรน่าหม่ำ ก็ทานตรงนั้นเลย
เดินถัดจาก Japan Pavilion เราก็มองเห็นท่าเรือ ก็เลยลองเดินไปชมแม่น้ำหวงผู่ (Huangpu River) และมองเห็นเรือข้ามฟากที่พาผู้คนไปมาระหว่าง Zone A,B,C กับอีกฝั่งของแม่น้ำ คือ Zone D,E
สำหรับพวกเราชาวไทยมาเดินเที่ยว ให้เดินแค่ A, B, C ก็พอแล้ว เว้นแต่จะมีเวลาเหลือพอ ก็ยังมี Theme Pavilion (Pavilion of Urban Footprint), Shanghai Corporate Pavilion, China Railway Pavilion, World Exposition Museum เป็นต้น แต่ก็ต้องเผื่อเวลาในการเข้าคิวรอเรือข้ามฟากทั้งไป-กลับด้วย
ถัดจากท่าเรือ ก็ได้พบกับสวนจีนสวยๆ (Chinese Garden) ถือโอกาสพักการเดิน
ลดความเร็วในการใช้ชีวิต ซึมซับกับธรรมชาติรอบๆ ตัว
มาถึงเมืองจีน ก็ต้องถ่ายภาพดอกไม้จีน ซึ่งเคยทานบ่อยๆ นำมาผัดกับวุ้นเส้นและเห็ดหอม ... พูดแล้วหิว
แม้จะเป็นสวนธรรมชาติที่เนรมิตด้วยฝีมือมนุษย์ แต่เป็นการนำธรรมชาติมาผสานกับงานได้ลงตัว ซึ่งในวันพรุ่งนี้จะพาไปเดิน Expo Park ซัก 2-3 ชั่วโมง สวยมากและประทับใจไม่แพ้การมาเดินชมพาวิลเลียนต่างๆ
สวนบริเวณนี้แม้จะไม่ใหญ่และครบองค์ประกอบทั้งน้ำ, สะพาน, เนินเขา
จากมุมนี้ มองเห็นอาคารพาวิลเลียนที่อยู่ภายนอก
แม้จะมีฝนพรำตกๆ หยุดๆ แต่ก็เพิ่มบรรยากาศในการเดินชม อากาศเย็นสบายราว 20 องศา
ถัดจากสวนจีน ก็เดินมายัง "จานบิน" โอ้ว! ทำไมมันช่างใหญ่โตมโหฬารแบบนี้ล่ะ คือ Expo Culture Center มองเห็นคนตัวเท่ามด กำลังยืนอยู่บนจานบินนั้น
สามารถเข้ามาดูรายละเอียดได้โดยกดที่นี่ (+) เพื่อเชื่อมไปยังแหล่งข้อมูล
หันไปบอกเพื่อนว่า ตกลงเราทานอาหารกลางวันกันในจานบินนี้ดีกว่า เดินเข้าไปข้างใน ผู้คนเยอะมากที่กำลังยืนรอคิวเข้าชมการแสดงภายใน และขึ้นไปบนจานบิน ทบไปทบมาหลายตลบ ซึ่งในวันที่สองของการเข้ามาในงาน Expo 2010 ก็ได้มายืนเข้าคิวอยู่ประมาณ 15 นาที แต่แล้วก็ถอดใจ คาดว่าคงต้องรอมากกว่า 1 ชั่วโมงแน่ๆ จึงเปลี่ยนใจไปเดินถ่ายรูปต่อดีกว่า
เดินเลือกอาหารจานด่วน ก็เลือกน่องเป็ดพะโล้ ข้าวสวย และชาเขียว รวมประมาณ 40 หยวน ก็เกือบ 200 บาท ถือว่ายอมรับได้ เพราะอร่อยถูกปากดี
แกล้มกับบรรยากาศภายนอก ซึ่งมองเห็นเรือขนาดใหญ่แล่นผ่านไปมาในแม่น้ำหวงผู่ (Huangpu River)
ถือเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่แห่งหนึ่งในโลก ที่มีความสวยงาม ล้ำยุค และใหญ่มโหฬารมาก
ท้องอิ่มก็ต้องขอเดินย่อยกันต่อ ยังมีภารกิจถ่ายภาพอีกตลอดบ่ายนี้ ยาวต่อไปถึงค่ำถึง 3 ทุ่ม
เดินต่อมายัง Expo Axis ซึ่งช่วงเย็นถึงค่ำ จะเปิดไฟสีสันต่างๆ สลับไปมา รวมทั้งภาพและตัวอักษรคล้ายจอทีวีขนาดยักษ์ ต้องบอกเลยว่า หากใครมีโปรแกรมเดินทางมาเที่ยวงาน Expo 2010 จะต้องอยู่เที่ยวจนเกือบถึงงานปิดประมาณ 4 ทุ่ม อยากให้อยู่รอสัมผัสกับแสงสีของพาวิลเลียนต่างๆ ที่ประชันกันในยามค่ำคืน ไว้จะนำมาฝากในตอนต่อๆ ไป
ยังติดใจเจ้าจานบิน พยายามหามุมที่ถ่ายได้ครบทั้งอาคาร โดยต้องยืนออกมาห่างมากๆ ให้หมุนเลนส์ถ่ายได้กว้างสุดๆ
ระหว่างเดินบน Expo Axis ก็ได้มุมอื่นๆ ของอาคารจัดแสดงทั้ง Taiwan Pavilion และ China Pavilion
มีงานศิลปะวางตามจุดต่างๆ อย่างถังน้ำมีหูหิ้วมาวางซ้อนกัน ก็กลายเป็นผลงานศิลปะให้ได้จินตนาการถึงความหมาย
รถม้าหยักๆ ไม่ได้เพราะเราตาลายนะ แต่น่าจะเหมือนเวลาเราดูเงารถม้าในน้ำกระมัง
หลังคาดูเหมือนกับดอกไม้ขนาดยักษ์
และมองดูเส้นสาย การประสาน การผสาน ผนึกกำลังกัน เพื่อความยิ่งใหญ่ ซึ่งวันนี้พวกเราทุกคนต้องการ
และขอนำสโลแกนของงาน Expo 2010 คือ Better City, Better Life ซึ่งเชื่อว่าทุกประเทศ ทุกเมือง ต้องหันมาให้ความสำคัญในการทำบ้านเมือง เพื่อให้คุณภาพชีวิตดียิ่งขึ้น ทุกคนก็มีความสุข และรักบ้านเมืองของตน
เดินย้อนกลับมา และมองเห็น "Tiger Window" อีกครั้งของ Theme Pavilion โดยสามารถกดที่นี่ (+) เพื่อเชื่อมไปยังแหล่งข้อมูล และเลือกที่ Theme Pavilion ได้ทันที
มองเห็นงานศิลปกรรมชิ้นใหญ่ สีสันสดใส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความร่วมมือกันของชาวจีน เหมือนทุกคน ทุกกิจการ ร่วมมือกันเป็นเจ้าภาพต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก รวมทั้งชาวจีนด้วยกัน ซึ่งกว่า 90% ของผู้มาชมงานนี้ ก็เป็นชาวจีนที่เดินทางมาจากทั่วประเทศ
เดินบนทางลอย ผ่านมาอีกฝั่งของ New Zealand Pavilion เห็นคิวแล้วก็ขอเดินผ่านดีกว่า
เดินผ่าน Thailand Pavilion เหมือนถึงบ้านแล้ว ยังมีคิวที่ชาวจีนและชาวต่างชาติกำลังยืนรอเข้าชมอยู่เป็นจำนวนมาก
ปิดท้ายเอนทรีนี้ด้วย Australia Pavilion ซึ่งเอนทรีต่อไป จะพาไปยังบริเวณ Zone C ซึ่งมีประเทศกลุ่ม Europe, America, Russia, South America รวมทั้ง Africa เป็นต้น
มาติดตามต่ออีกนะ เร็วๆ นี้