ยังเพลิดเพลินในปักกิ่ง อันยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
แม้ว่าสองข้างทางในวันนี้ จะมีตึกรูปร่างแปลกตา ผุดขึ้นมากมาย แต่จีนก็ยังคงรักษาแหล่งโบราณสถานทุกแห่งไว้เป็นอย่างดี ซึ่งไม่ได้อนุรักษ์เพื่อให้ชาวต่างชาติมาชมรากเหง้าทางวัฒนธรรม และแหล่งอารยธรรมที่สำคัญ แม้แต่ชาวจีนด้วยกันกว่าพันล้านคน ก็อยากมาเห็นด้วยตาตัวเองเช่นกัน
เหลือบไปเห็นหอคอยพอดี ซึ่งเมืองใหญ่ๆ ในโลกเขาก็มีหอคอยกันทั้งนั้น แต่ทำไมกรุงเทพมหานครของเรา ไม่มีกับเขาซะทีเน้อ!
บรรยากาศหน้าหนาว ก็ขะมุกขะมัวแบบนี้ และอากาศหนาวมากๆ
รถบัสของเราเดินทางมาถึง และจอดให้เดินลง
มองเห็นคุณลุงกับกรงนก จึงขอโฉบเข้าไปทักทายเจ้านกน้อยซักหน่อย
หนาวมั้ย ... ไม่เห็นใส่เสื้อ
รีบเดินตามกลุ่ม กลัวโดนทิ้ง
นี่ไม่ใช่พาหนะคู่ใจ ไปไหนไปกันหรอกนะ
นี่ไง กีฬาแก้หนาว เตะลูกขนไก่ มองเห็นได้ทั่วไป
เดินเข้ามาในบริเวณที่ในอดีตจักรพรรดิจีน จะเปลี่ยนเครื่องทรงก่อนเข้าสู่พิธีบวงสรวง
มองเห็นเม็ดขาวๆ ตามต้นสน จึงเดินมาดูใกล้ๆ ว่าคืออะไร ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยว่าคืออะไร
เข้าสู่บริเวณ หอบูชาสวรรค์ (เทียนถาน) เป็นที่ซึ่งจักรพรรดิประกอบพิธีบูชาสวรรค์และบรรพบุรุษในวันเหมายัน
จักรพรรดิของจีนถือเป็นโอรสแห่งสวรรค์ ทรงเป็นตัวแทนพสกนิกรในการสวดขอพรต่อเทพเจ้า เพื่อให้การเพาะปลูกได้ผลดี
ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง สามัญชนเข้าไปในบริเวณนี้ไม่ได้ แต่ปัจจุบันเปิดให้สาธารณชนเข้าชม
มีแท่นหิน 3 แท่นอยู่ตรงบันไดทางขึ้นท้องฟ้าจำลองหลวง ลองยืนบนแท่นแรกแล้วตบมือ 1 ครั้ง จะได้ยินเสียงสะท้อนมา 1 ครั้ง ยืนบนแท่นที่ 2 แล้วตบมือ 1 ครั้ง จะได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา 2 ครั้ง และหากทำแบบเดียวกันบนแท่นที่ 3 จะได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา 3 ครั้ง
กำแพงสะท้อนเสียงรูปครึ่งวงกลม ซึ่งใช้ระบบสะท้อนเสียงเหมือนโบสถ์ในยุโรป
"แท่นบูชาหินอ่อน" (Round Altar) ก้อนหินกลมนี้ถือเป็นศูนย์กลาง และมีก้อนหิน 9 ก้อนวางล้อมรอบ วงกลมรอบต่อไปก็มีหินเพิ่มอีก 9 ก้อน เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนครบวงกลมรอบที่ 9 จะมีหินทั้งหมด 81 ก้อน จักรพรรดิจะทรงนั่งคุกเข่า และอ่านม้วนกระดาษเขียนคำบวงสรวง ซึ่งพระองค์ทรงเขียนขึ้นเอง เมื่อทรงอ่านเสร็จก็จะเผากระดาษม้วนนี้ และคำบวงสรวงก็จะลอยขึ้นตามกลุ่มควันสู่ฟ้า
ขอพักเรื่องราว เรียกน้องชายกับน้องรี่ ให้ยืนตรงนี้จะถ่ายรูปคู่ให้ ... แช๊ะ!
และก็เรียกน้องชายอีกคนกับน้องนุช ... แช๊ะ! ... ที่นี่ปักกิ่งนะ อย่านึกว่ากรุงโซล
บันทึกภาพเสร็จ ก็เดินทางต่อเข้าไปยังหอ
เจอเข้ากับตากล้องคนนี้ โอ้โห! อาวุธหนักเพียบ
หอทรงกลมทำด้วยไม้ หลังคารูปกรวยนี้ คือ ท้องฟ้าจำลองหลวง (Imperial Vault of Heaven) เคยเป็นที่เก็บรักษาป้ายวิญญาณไม้ ซึ่งใช้ในพิธีที่จัดขึ้นบนแท่นบูชาทรงกลมที่กล่าวถีงก่อนหน้านี้
เดินขึ้นบันไดมา
ภาพที่เห็นภายใน ท้องฟ้าจำลองหลวง
มองดูความงดงามของเพดาน
ลองถ่ายภาพย้อนลงไป ได้มุมสวยแปลกดี
ยังไม่ถึง "พระตำหนักบวงสรวงพืชมงคล" ขอพักยก ดื่มน้ำ และหาอะไรทานเล่นๆ กันก่อน
เหลือบไปเห็นของโปรด ซึ่งเคยเป็นแหล่งค่าขนมช่วงปิดเทอมในวัยเด็ก ที่จะยอมนั่งเล่นไพ่นกกระจอก ชนิดข้ามวันข้ามคืน ด้วยความสนุกสนานภายในครอบครัว แถมได้ค่าขนมและของเล่นช่วงปิดเทอมนับพันบาทอีกด้วย
ชื่นชมคนจีนที่ มักหาอะไรทำอยู่เสมอ ไม่ยอมอยู่เฉย
ต้นไม้เหล่านี้ น่าจะมีอายุนับร้อยปี แต่ยังได้รับการบำรุงรักษาอย่างดี
จะพาเดินต่อตามสะพานแดง เป็นทางเดินหินอ่อนยกระดับทอดตลอดแนวเหนือใต้ของอาณาเขตหอบูชาสวรรค์
ซี่งเชื่อม พระตำหนักบวงสรวงพืชมงคล กับ แท่นบูชาทรงกลม
พระตำหนักบวงสรวงพืชมงคล (Hall of Prayer for Good Harvests) สร้างครั้งแรกในปี ค.ศ. 1420 และสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1889 เพราะพระตำหนักเดิมเกิดเพลิงไหม้จนหมด เนื่องจากถูกฟ้าผ่า
เป็นหอกลมที่มีหลังคาทรงกรวยมุงด้วยกระเบื้องสีน้ำเงิน ยอดประดับเป็นทอง อาคารนี้นับว่า สวยที่สุดในปักกิ่ง และสิ่งที่โดดเด่น คือ สร้างด้วยไม้โดยไม่ใช้ตะปูซักตัว
ภายบริเวณภายในพระตำหนัก
ลวดลายและสีสัน งดงามมาก
และเมื่อผ่านบริเวณนี้ไป ก็จะพบกับสวนสาธารณะเถารันถิง และสวนสาธารณะต้ากวาน
ซึ่งวันนี้เป็นวันอาทิตย์พอดี ทำให้มีผู้คนในสวนสาธารณะจำนวนมาก
มาร้องเพลง เล่นดนตรี สร้างชีวิตชีวาให้สวนแห่งนี้
ซึ่งไม่แปลกใจเวลาที่เปิดดูช่อง CCTV มักจะเห็นรายการแสดงจำนวนมาก คงเพราะคนจีนส่วนใหญ่รักในศิลปะการแสดงและดนตรี
ศิลปะในการรำพัด ... แบบนี้พบเห็นทั่วไป ตราบใดที่ไม่มีเงินหยวนบนโต๊ะ ตำรวจก็ไม่จับ
เป็นเทคนิคที่ทำให้มีสุขภาพดี ชีวิตยืนยาว
หรือจะโชว์เดี่ยว
แต่ที่ชอบมากๆ ประทับใจคือ เต้นรำกันเต็มสวน ยังแอบไปยืนเต้นกับพวกเขาด้วยนิดนึง
เป็นการท่องเที่ยวที่ได้รับความสุขหลากหลาย
จึงไม่แปลกใจว่า "ทำไมใครๆ ก็มาเที่ยวปักกิ่ง"