พวกเราเดินตามทางเดินมาอีกไม่ไกล ก็มายังจุดที่น้ำตกธารไข่มุก ปล่อยกระแสน้ำที่ใสจากที่สูงลงสู่แอ่งน้ำด้านล่าง กลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่
เสียงน้ำดังครืน ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความน่าเกรงขาม
ปริมาณน้ำมหาศาลที่ไหลลดหลั่นลงหลายระดับชั้น
นำวิดีโอที่ได้บันทึกไว้มาให้ชมบรรยากาศจริงๆ มาฝากกัน แนะนำให้เลือกความละเอียดแบบ HD 720p
หรือมองภาพแบบพาโนรามาก็มี โปรดกด (+)= เพื่อชมภาพขยาย
สภาพอากาศในบริเวณอุทยานจิ่วจ้ายโกวแห่งนี้ ถือว่ามีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี โดยอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 7.2 องศาเซลเซียส
อีกทั้งยังมีปริมาณฝนตลอดปีกว่า 660 มิลลิเมตร คงเป็นเหตุที่ทำให้ปริมาณน้ำตกมีปริมาณมาก และยังมีความใสสะอาดโดยมีสีฟ้าเมื่อรวมกันในแอ่งน้ำเบื้องล่าง
พยายามจะบันทึกภาพความยิ่งใหญ่ทั้งหมด จะต้องนำภาพทั้ง 3 ภาพ มาวางต่อกันแบบพาโนรามา จึงจะเห็นภาพได้ครบ
ต้นสนที่มีขนาดสูงใหญ่ ก็ดูเล็กลงทันทีเมื่่อเทียบกับความสูงของน้ำตกธารไข่มุก
แต่ก็หยิบเอา Tablet ติดมือไปด้วย เพื่อบันทึกภาพแบบพาโนรามาแบบสดๆ รวมภาพให้เสร็จในขั้นตอนเดียว มาฝากกันแบบนี้ดีกว่า
กดที่ภาพ หรือ กดที่นี่ (+)= เพื่อชมภาพพาโนรามาแบบขยายชัดเจน
มาบันทึกภาพความประทับใจ ไว้เป็นที่ระลึกกันหน่อย ... แช๊ะ!
น้ำตกขาวใส ยังกับเส้นไหม
โดยเรียงรายสายน้ำกลายเป็นม่านน้ำขนาดใหญ่ กลายเป็นสายธารสีขาวไข่มุก
ยิ่งใหญ่สมชื่อ "น้ำตกธารไข่มุก" ยิ่งนัก
ละอองน้ำตกกระจายเต็มหน้าฟิลเตอร์ของเลนส์
แต่ก็ไม่สามารถทำให้เราละความพยายามที่จะเก็บภาพในแต่ละมุม มาเก็บไว้ชื่นชมนานๆ
เพราะมองไปทางมุมไหน ก็งดงาม หาที่ติไม่ได้เลย
โดยเฉพาะสายน้ำที่รวมกันเป็นธารน้ำสีฟ้าใส
เดินไป บันทึกภาพไปไม่หยุด
เป็นความงดงามตามธรรมชาติที่ยากจะเลียนแบบด้วยฝีมือมนุษย์
ต้องบันทึกเป็นความทรงจำที่ประทับใจของทุกคนอย่างแน่นอน
เวลาเราเห็นน้ำตกไม่ว่าสถานที่ไหนๆ มองเป็นความสนุกท้าทาย ในการถ่ายภาพน้ำตกให้มองเห็นสายน้ำเป็นสายนุ่มนวล
ต้องใช้เทคนิคการลดความเร็วของ Shutter ลง ซึ่งต้องให้บุคคลที่ยืนเป็นแบบ จะต้องยืนนิ่งๆ ประมาณ 1 วินาที เพื่อให้ภาพบุคคลชัดเจน แต่ทำให้เห็นภาพที่เคลื่อนไหว มีความนุ่มนวลสวยงาม
เป็นการใช้เทคนิคของตากล้อง และเป็นการเพิ่มความสนุกสนานในการถ่ายภาพ ซึ่งเราใช้การลักจำเวลาเราดูภาพจากนิตยสารท่องเที่ยว ก็ลองศึกษาว่าเขาใช้เทคนิคใดในการถ่ายภาพ ซึ่งเป็นการพัฒนาวิธีการถ่ายภาพของเราได้อีกทางหนึ่ง และลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ
จากนั้น พวกเราก็ขึ้นรถเหมาอุทยานต่อไปยังทะเลสาบยาว ซึ่งได้ผ่านสิ่งก่อสร้างแบบทิเบต และสถานที่แห่งนี้อยู่ในพื้นที่ห่างไกลที่มีชาวทิเบตตั้งรกรากนานหลายศตวรรษ แต่ไม่ได้มีการสำรวจอย่างเป็นทางการจนกระทั้งปี พ.ศ. 2515 มีธุรกิจตัดไม้ทำให้มีการตัดไม้ทำลายป่าเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งปี พ.ศ. 2522 รัฐบาลจีนได้สั่งห้ามธุรกิจดังกล่าว
โดยรัฐบาลจีนได้ประกาศพื้นที่แห่งนี้เป็นอุทยานแห่งชาติในปี พ.ศ. 2525 จนกระทั่งปี พ.ศ. 2527 จึงได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาชม
ในปี พ.ศ. 2535 องค์การยูเนสโกได้ประกาศพื้นที่นี้ให้เป็นมรดกโลก และยังเป็น World Biosphere Reserve ใน พ.ศ. 2540
นั่งรถตรงเข้าไปและสูงยิ่งขึ้น เพื่อตรงไปยังทะเลสาบยาว
สังเกตได้จากต้นไม้ส่วนใหญ่จะเป็นต้นสน ซึ่งเติบโตได้ดีบนพื้นที่สูง และมองเห็นการผลัดใบเป็นสีเหลือง
มาถึง "ทะเลสาบยาว" กันแล้ว
มีความยาวสมชื่อ เพราะมองเห็นยาวจนสุดสายตา
หากเห็นว่า ทะเลสาบแห่งนี้มีสีฟ้าเข้มแล้ว ในตอนต่อไปจะพาไปชม "ทะเลสาบห้าสี" กันต่อ ขอบอกว่า เข้มสะใจกว่านี้หลายเท่า ไว้มาติดตามกันต่อเร็วๆ นี้นะ