Disable Preloader




ตามรอยหนัง อวตาร ต้องมาอุทยานแห่งชาติ จางเจียเจี้ย : ตอนที่ 1

ด้วยความตั้งใจมานานแล้ว ที่อยากไปท่องเที่ยวตามรอยภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ดชื่อดัง "อวตาร" (Avatar) ซึ่งได้โอกาสส่งท้ายปลายปี ระหว่างวันที่ 26 - 31 ธันวาคม 2556 จึงเดินทางไปกับครอบครัว ไปท้าลมหนาวกันซะหน่อย

ซึ่งในฤดูกาลนี้ ถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของการท่องเที่ยวแถบนี้ โดยช่วงที่มีการท่องเที่ยวมากที่สุด จะเป็นช่วงเดือนเมษายน และตุลาคม ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนเอง รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยอีกจำนวนมากในช่วงนั้น

แต่ทว่าข้อดี คือ ทำให้การท่องเที่ยวไม่แออัด กำลังสบายๆ แถมได้สัมผัสอากาศหนาวอย่างเต็มที่

พวกเรายืนรอไกด์ที่กำลังไปซื้อตั๋วเข้าสู่ เขตทิวทัศน์ธรรมชาติอู่หลิงหยวน (武陵源) หรือไฮไลท์ที่สำคัญของทริปนี้ คือ อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย (湖南张家界国家森林公园) มณฑลหูหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน

อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติแห่งแรกของจีนมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1992 เนื้อที่กว่า 9,500 ตารางกิโลเมตรของอุทยานฯ ที่เต็มไปด้วยแท่งภูเขาหินทราย ตั้งสูงขึ้นฟ้ามากกว่า 3,000 ยอด มีสะพานหินตามธรรมชาติ, น้ำตก, ถ้ำใหญ่น้อยอีกกว่า 40 แห่ง ยังมีสายน้ำและพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์หลากหลายชนิด ที่หายากและใกล้สูญพันธุ์อีกด้วย

ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับชาติ AAAAA (ระดับ 5 เอ) ซึ่งตื่นตาตื่นใจยิ่งใหญ่อลังการอย่างแน่นอน

มีเส้นทางและจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่หลายจุดในอุทยานฯ แห่งนี้ ซึ่งพวกเราจะใช้เวลาท่องเที่ยวกันตลอดทั้งวัน

เดินทางโดยขึ้นรถของอุทยานฯ เท่านั้น ซึ่งเส้นทางขนาดเล็กขนานไปกับริมภูเขา โดยโชเฟอร์นั้นต้องมีความชำนาญอย่างมาก และได้ชมสายน้ำสีเขียวตามเส้นทาง

ไม่นานนัก รถบัสก็มาถึงจุดจอดรถ และเดินลงเพื่อรอขึ้นรถไฟขนาดเล็กแทนการเดินเที่ยวชม

เขตทิวทัศน์ธรรมชาติอู่หลิงหยวน อยู่ในพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างสวนป่าจางเจียเจี้ยในเมืองจางเจียเจี้ย เขตอนุรักษ์ธรรมชาติหุบเขาสั่วซี ในอำเภอฉือลี่ และเขตอนุรักษ์ธรรมชาติเขาเทียนจื่อซัน ในอำเภอซางจื๋อ รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 500 ตารางกิโลเมตร

เริ่มมองเห็นแท่งหินต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งนักท่องเที่ยวนั้น ต้องใช้จินตนาการในการมองรูปร่าง ว่าเหมือนกับอะไรกันบ้าง

นั่งรถไฟเพื่อเที่ยวชม เป็นทางเลือกที่ถูกต้อง เพราะไม่เช่นนั้น จะเสียเวลาในการเดินอย่างน้อย 1 ชั่วโมง อย่างแน่นอน ซึ่งจะทำให้เวลาไม่เพียงพอในการท่องเที่ยวบริเวณเสาอวตารในช่วงบ่าย

จากภาพด้านขวามือ จะมองเห็นแท่งหินคล้ายนิ้วมือ 2 นิ้ว

แสงแดดสาดส่องแท่งหินของภูเขาหินเขี้ยวม้า (ควอตซ์) สะท้อนเป็นสีส้มสวยงาม

เขตทัศนียภาพอู่หลิงหยวนตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาอู่หลิงในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูหนาน ประกอบด้วย 4 เขต คือจางเจียเจี้ย ภูเขาเทียนจือซัน ลำธารส่อซียวี่ และหยางเจียเจ้ ซึ่งแต่ละเขตล้วนจะมีเอกลักษณ์ของตน เขตทัศนียภาพอู่หลิงหยวนได้เข้าบัญชีรายชื่อมรดกทางธรรมชาติของโลกในปี ค.ศ. 1992 และได้รับประกาศเป็นอุทยานธรณีวิทยาของโลกในปี ค.ศ. 2002

แท่งหินกลางภาพคล้ายกับพระพุทธรูป หรือคนกำลังนั่งอยู่อย่างมาก

เขตทัศนียภาพอู่หลิงหยวนมีทัศนียภาพที่สวยงาม ซึ่งมีทั้งภูเขาสูงชันมหัศจรรย์ ป่าไม้ที่หนาแน่น ลำธารที่อ่อนโยน เมฆหมอกที่มีการเปลี่ยนแปลงลึกลับ หมู่บ้านที่เก่าแก่พร้อมขนบประเพณีท้องถิ่นที่ถ่องแท้ ทั้งนี้เหมือนดังภาพที่วิจิตรและมหัศจรรย์

แท่งหินทางขวามือ ดูคล้ายกันอะไรเอ่ย? เดี๋ยวมีเฉลยแต่ให้ลองมองดูเล่นๆ ก่อน

จุดหมายปลายทางของรถไฟขนาดเล็กก็มาถึงยัง แท่งหินสามพี่น้อง

ในบริเวณนี้ มองเห็นชาวจีนที่มากางเต๊นส์กัน แสดงว่ามาค้างแรมอยู่เมื่อคืนที่ผ่านมา

ขอเฉลยว่าแท่งหินดังกล่าว ดูเหมือนสิงโตนั่นเอง ... ทายถูกกันหรือไม่?

อากาศหนาวๆ อย่างนี้ ไม่มีอะไรอร่อยไปกว่า มันเผาร้อนๆ ช่วยให้อุ่นมือ รสชาดหวานอร่อย นุ่มนวลมาก

ในบริเวณนี้ ยังมีลิงกังที่อาศัยอยู่ในป่าบริเวณนี้ กำลังกอดกันกลม เพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่กัน ... หนาวเนื้อห่มเนื้อ จึงหายหนาว

มีร้านขายขนม และที่เห็นจะเป็นขนมตุ๊บตั๊บ ทุบกันใหญ่ และยังมีขายพริกตำ ปลากรอบราดพริกรสชาดอร่อยเผ็ดกำลังดี

ขอบันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกกัน สำหรับเอนทรีนี้ ถือเป็นออเดิฟ เพื่อให้เข้าใจข้อมูลเบื้องต้นของ เขตทิวทัศน์ธรรมชาติอู่หลิงหยวน รวมไปถึง อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย ซึ่งในเอนทรีต่อไปจะพาไปท่องเที่ยวในมุมสูง ซึ่งต้องนั่งกระเช้าขึ้นเขาในช่วงบ่ายของวันนี้

ไปชมจุดที่เป็นไฮไลต์ต่างๆ เช่น ช่องแคบสือหลี่ฮว่าหลัง (ระเบียงภาพวาดสิบลี้) และ บริเวณที่นำมาเป็นฉากในภาพยนตร์เรื่อง อวตาร เป็นต้น ซึ่งเดินเที่ยวเพลิดเพลินมากตามเส้นทางเดินชม

การที่มองภาพจากนิตยสารท่องเที่ยว หรือดูจากสารคดี จะยังไม่ได้ความรู้สึกยิ่งใหญ่อลังการเหมือนกันการมาท่องเที่ยวและสัมผัสจากสายตาตัวเอง

ด้วยการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างจริงจังของทางการจีน ซึ่งทำได้ดีมากเช่นเดียวกันกับ อุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว และหวงหลง ที่พวกเราได้ไปสัมผัสเมื่อปีที่แล้วเช่นกัน สังเกตได้จากการทำทางเดินอย่างดี เพื่อไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวออกนอกเส้นทาง ซึ่งมีผลในการทำลายความเป็นธรรมชาติได้โดยไม่รู้ตัว

รวมทั้งการใช้พาหนะต่างๆ ที่ใช้ไฟฟ้า เพื่อไม่ก่อให้เกิดมลพิษใดๆ อีกด้วย อีกทั้ง ชาวจางเจียเจี้ย ผู้ซึ่งรักในธรรมชาติ ได้ดำเนินนโยบายอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างมีประสิทธิผล เมืองจางเจียเจี้ย จึงประดุจดั่งดินแดนบริสุทธิ์ของโลก ณ ที่แห่งนี้ยังเป็นแหล่งชุมชนของ 33 ชนเผ่า เช่น ชนเผ่าถู่เจีย ชนเผ่าไป๋ และชนเผ่าเหมียว สภาพภูมิศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์ทำให้วัฒนธรรมของชนเผ่าต่างๆ ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี

หลังจากลงจากรถไฟขนาดเล็ก พวกเราก็ขึ้นรถบัส เพื่อกลับมายังประตูทางเข้า เพื่อขึ้นรถบัสเดินทางไปทานอาหารกลางวันในภัตตาคารในเมืองจากเจียเจี้ย ก่อนที่จะต้องกลับเข้ามายังอุทยานฯ อีกครั้ง เพื่อเดินทางไปยังจุดขึ้นกระเช้า เพื่อไปยังจุดไฮไลท์สำคัญสุดของทริปนี้ จากภาพถ่ายจากบนรถบัสของอุทยานฯ ระหว่างย้อนพากลับมาส่งที่ประตูทางเข้า จะมองเห็นภาพน้ำที่อยู่ข้างทาง มองเห็นเป็นสีฟ้าเขียว สวยงามมากๆ

แม้จะมีแสงแดดอุุ่นๆ แต่ทว่า อากาศก็ยังหนาวอยู่ ถูกใจมาก แต่ทว่าบ่ายนี้ต้องขึ้นไปอยู่บนยอดเขาสูง ซึ่งน่าจะยังหนาวอยู่มาก

กลับออกมาถึงบริเวณทางเข้า ซึ่งได้เวลาไปซดน้ำซุปร้อนๆ ให้ร่างกายอุ่นกันก่อน และเติมพลังให้เต็มพุงที่ภัตตาคาร เดี๋ยวบ่ายนี้ต้องกลับเข้ามายังประตูทางเข้านี้อีกครั้ง ยังต้องเดินกันอีกยาวไกล ไว้มาติดตามกันต่อเร็วๆ นี้ รับรองจะประทับใจเช่นเดียวกับพวกเราอย่างแน่นอน และอยากชวนให้มาสัมผัสเส้นทางนี้ด้วยกัน