Disable Preloader




เฟิ่งหวง เมืองโบราณที่ฉันตามหาจนเจอ เผลอรักหมดใจ ภาค 2

หลังจากเดินมาไกลพอสมควรเพื่อเก็บภาพบรรยากาศยามเช้า ซึ่งต้องใช้การเดินเร็วเพื่อให้กลับมาทันเวลานัดหมายเพื่อลงเรือ ยังดีที่ได้อากาศช่วงฤดูหนาวราว 10 องศาเซลเซียส ทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นจนเกือบร้อน เพราะอยากจะเดินให้ไกลสุดโดยนำเวลาที่มีหารครึ่ง เดินไปถึงจุดไหนก็ต้องวกกลับ เผื่อเวลาที่ต้องเดินเท้ากลับจากจุดตั้งต้น

จากภาพบรรยากาศโดยรอบจะเห็นว่า ผู้คนจะยังไม่มากนักคงเป็นเพราะช่วงนี้อาจไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะเป็นช่วงเดือนตุลาคมที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะมาเที่ยวยังจางเจียเจี้ย (张家界市) ก็ต้องแวะมาเที่ยวที่เมืองนี้ คงได้เห็นทั้งนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวต่างชาติแน่นทั้งสองฝั่งเป็นแน่ รวมทั้งเรือแน่นขนัดที่ล่องในแม่น้ำถัวเจียงอีกด้วย

เดินอยู่ในฝั่งด้านนี้ของแม่น้ำ จะพบกับร้านค้า โรงแรม และร้านอาหารอยู่เป็นจำนวนมาก สายตามองเห็นเครื่องชงกาแฟตรงนั้น จึงขอเดินตรงไปยังร้านเพื่อสั่งกาแฟดำร้อน (Americano) ซักแก้ว เพราะร่างกายขาดสารคาเฟอีนมาหลายวัน และไม่ดื่มกาแฟแบบ 3-in-1

ระหว่างรอการชงกาแฟ จึงเดินเข้ามาด้านในของร้านเพื่อถ่ายภาพ "สะพานหงเฉียว" หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า "สะพานสายรุ้ง" ซึ่งมีอายุเก่าแก่กว่า 300 ปี ที่มีหลังคาคลุมด้านบน ซึ่งบ่ายวันนี้จะเดินขึ้นไปชมบรรยากาศจากบนนั้น ไว้มาติดตามจากภาพมุมสูงในช่วงท้ายๆ ของเอนทรีนี้

เมื่อได้กาแฟแก้วนี้ในราคา 20 หยวน (ราว 100 บาท) รีบเดินทำเวลาไปถึงจุดนัดพบ แต่ทว่ามีกาแฟดำเติมน้ำร้อนมาเพียงแค่ครึ่งแก้ว ก็ยังดีที่ได้เพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้บ้าง 

เดินผ่านหอคล้ายกันป้อมปราการและกำแพงเมืองเป็นแนวยาว ว่ากันว่าสร้างในสมัยราชวงศ์หมิง อายุ 600 กว่าปี

มีคนยืนเป็นหุ่นอยู่มุมขวานั้น มองไกลๆ ตอนแรกยังนึกว่าเป็นประติมากรรมโลหะตั้งอยู่

มาถึงจุดนัดพบบริเวณนี้ก่อนจะพากันไปลงเรือ แต่ก็ยังพอมีเวลาให้ถ่ายภาพและเดินข้ามแท่งหินไปมาสองฟากฝั่ง

มองเห็นสะพานสีขาวขนาดใหญ่ ซึ่งในเอนทรีที่แล้วได้ถ่ายภาพสะพานสีขาวนี้ ขณะนั่งอยู่บนรถบัสผ่านสะพานข้ามแม่น้ำที่อยู่ไกลสุดในภาพนี้

ผลัดกันถ่ายภาพกับครอบครัวของน้องๆ และหลานชายกันอย่างสนุกสนาน ลองถ่ายวิดีโอจากโทรศัพท์มือถือดูบ้าง

มองเห็นบรรยากาศโดยรอบของเมืองโบราณที่ยังคงสภาพบ้านเรือนไว้อย่างดี อยากให้เป็นตัวอย่างที่นำปรับใช้ในบ้านเราที่น่าจะควบคุมเอกลักษณ์ของบ้านเรือนในบางจุด เพื่อให้ยังคงรักษาวิถีชีวิตแบบเดิมไว้ อาจสร้างขึ้นใหม่ได้แต่ขอให้คงรูปแบบให้ใกล้เคียงของเดิมให้มากที่สุด

เพราะถ้าเอกลักษณ์ของสถานที่หายไป ก็คงหาสิ่งดึงดูดอื่นๆ มาทดแทนได้ยาก และคนรุ่นใหม่ก็จะมองไม่เห็นคุณค่าว่าสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมเก่าแก่นั้นเป็นอย่างไร รวมไปถึงการสร้างสิ่งใหม่ก็จะไม่ใส่ใจที่อยากจะให้คงทนถาวร เพราะหันไปคิดว่าสร้างไปอีกไม่นานก็ถูกรื้อถอน สร้างใหม่ แล้วจะใส่ใจในรายละเอียดการก่อสร้างไปเพื่ออะไร หากคิดแบบนี้เราคงไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดเงินจากชาวต่างชาติในอนาคตเป็นแน่

ส่วนที่สำคัญคือ นักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะไปที่ไหน หรือเที่ยวในประเทศของเราเอง ก็มีส่วนช่วยมากในการอนุรักษ์และรักษาวิถีชีวิตแบบเดิมไว้ อีกทั้งความสะอาดก็เป็นเรื่องที่สำคัญ สังเกตได้ว่าระยะหลังๆ เวลาไปท่องเที่ยวสถานที่ต่างๆในประเทศจีน จะมีการพัฒนาไปในการที่ดีขึ้น สะอาดขึ้นมากอีกด้วย ซึ่งต้องแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกันในการดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ

จากภาพนี้จะเห็นสะพานหลากหลายที่สามารถข้ามไปมาได้ ซึ่งเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว เกิดอุทกภัยหนักที่เมืองเฟิ่งหวงแห่งนี้ ระดับน้ำสูงมากจนท่วมบ้านเรือน ระดับน้ำสูงถึงคอสะพานที่เห็นในภาพนี้ จึงทำให้นึกถึงเมืองนี้และเป็นเหตุที่ทำให้เขียนเอนทรีนี้ในภาคที่ 1 และ 2 

ได้เวลาลงเรือกันแล้ว ซึ่งเป็นเรือไม้และจะใช้การถ่อแทนการพายในบางช่วง 

น้ำสะอาดมาก ไม่มีกลิ่น ทั้งที่เรามักพบเห็นการซักล้าง หรือการใช้ประโยชน์จากน้ำ เชื่อว่าต้องมีระบบบำบัดน้ำเสียอย่างดีแน่นอน ที่สำคัญ คือ "สำนึกรักษ์" ที่ต้องช่วยกันรักษาแม่น้ำให้ใสสะอาด

มองเห็นกังหันน้ำโบราณยังใช้งานได้อยู่ บ้านแต่ละหลังริมน้ำ ถูกแปรสภาพเป็นโรงแรมซักส่วนใหญ่ มีข้อที่อยากติซักเล็กน้อย คือ น่าจะทำระแนงไม้เพื่อบังเครื่องปรับอากาศต่างๆ ซึ่งทำให้ภาพความโบราณถูกขัดตาไปเล็กน้อย

ในบางช่วงที่ผ่านฝายชะลอน้ำ มองเห็นคลื่นคล้ายกับพวกเรากำลังจะล่องแก่ง สนุกตื่นเต้นกันเล็กน้อย

กำลังจะล่องเรือลอดใต้สะพานหงเฉียว หรือ สะพานสายรุ้ง กันแล้ว

สะพานนี้อาจถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองเฟิ่งหวงเลยก็ว่าได้

ขอกดไลค์ให้กับเมืองเฟิ่งหวงแห่งนี้จริงๆ เมืองที่สันนิษฐานกันว่า สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1863) แต่ยังคงอนุรักษ์ไว้ได้ดี

เสียดายที่มีเวลาเที่ยวในเมืองนี้เพียงแค่หนึ่งวัน แต่ก็มีโอกาสได้นำเสนอภาพบรรยากาศได้พอสมควร ซึ่งในเมืองนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ และบ้านโบราณที่เปิดให้เที่ยวชมอีกหลายๆ จุด อีกอย่างคือ ยังไม่ได้มีโอกาสมาเก็บบันทึกภาพยามค่ำคืน ที่มีแสงสีสวยงาม ซึ่งได้เพียงแค่มองผ่านไปเมื่อค่ำวานนี้

 เรือแล่นมาจึงจุดที่มีนกกาน้ำกำลังรอกินปลาที่ชายผู้นั่นโยนให้ ซึ่งจะเป็นบริเวณจุดหมายของการล่องเรือ

 แต่ก็ได้ภาพประทับใจที่นกกาน้ำตัวหนึ่งกำลังพยายามกลืนปลาหางสีส้มๆ อยู่พอดี

ได้เวลาเรือจอดเทียบท่า เพื่อเดินไปรับประทานอาหารกลางวันกัน

 เดินไปเห็นภาพวิถีชีวิต เห็นบรรยากาศ ก็อดไม่ได้ที่จะไม่บันทึกภาพไว้

แม้กระทั่งเรือเทศบาล ที่คอยเก็บสาหร่ายหรือไม้ใต้น้ำที่อาจกีดขวางการเดินเรือได้

หลานชายทั้งสองรู้สึกว่า หน้าตาจะเข้ากับชาวเฟิ่งหวงได้สบายเลยนะ จะบอกให้น้องชายส่งหลานมาเรียนหนังสือภาษาจีนช่วงหยุดภาคฤดูร้อน แต่ทว่าปัจจุบันหลานชายก็เรียนภาษาจีนกลางที่โรงเรียนด้วย ซึ่งภาษาที่ 2 และ 3 เป็นสิ่งที่สำคัญมากในอนาคต

เดินไม่นานนักก็มาถึงยังภัตตาคารกันแล้ว สำหรับอาหารจีนนั้น เรียกได้ว่า "อร่อยถูกปากทุกมื้อ"

 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ผัดยอดผักกับหมูแฮมรมควัน" จานนี้ถูกใจเป็นพิเศษ

หลังจากรับประทานอาหารกันอิ่มหนำแล้ว ก็ต้องออกแรงเดินขึ้นบันไดขึ้นมาชมความงามจากชั้นบนของสะพานสายรุ้งกันอีกหน่อย ซึ่งมีการตรวจตั๋วของนักท่องเที่ยวที่ใช้ผ่านเข้ามาในตัวเมืองตั้งแต่เมื่อช่วงเช้า ดังนั้น หากใครมาท่องเที่ยวต้องเก็บตั๋วไว้ให้ดีนะ ไม่อยากให้พลาดมุมสวยงาม

เป็นมุมมหาชนที่อาจเคยเห็นภาพจากมุมนี้มาก่อนจากเว็บไซต์ต่างๆ

รวมไปถึงมุมนี้่ จะอยู่อีกฝั่งตรงข้าม

มองเห็นสะพานสีขาวที่ถ่ายรูปไปเมื่อช่วงเช้า รวมทั้งเรือของนักท่องเที่ยวที่ล่องผ่านมา 

 กับสภาพบ้านเรือนโบราณที่ไม่ได้อยู่เฉพาะสองริมฝั่งแม่น้ำถัวเจียง แต่ยังมองเห็นอยู่ทั้งหมู่บ้าน และบริเวณเชิงเขาอีกด้วย

นักท่องเที่ยวหากมีเวลา น่าจะพักขานั่งชมบรรยากาศอยู่บนนี้นานๆ  

ขอนำภาพแบบพาโนรามา (Panorama) ของเมืองโบราณเฟิ่งหวงมาฝากกัน ให้เห็นถึงบรรยากาศโบราณแบบ 360 องศา

หวังว่าทั้งสองเอนทรีนี้ จะเป็นข้อมูลสำหรับผู้ที่จะมาท่องเที่ยวไม่ให้พลาดจุดที่สำคัญในการชม และให้ผู้อ่านได้เห็นภาพพร้อมเรื่องราวให้ได้รับความสุขในการอ่านบันทึกการเดินทางไปด้วยกัน รวมทั้งได้เห็นว่า ในโลกใบนี้ยังมีสถานที่โบราณที่ยังสวยงาม ให้เราได้ตามหา ตามฝันของเราอีกต่อไป