Disable Preloader




"เมืองโบราณต้าหลี่" ที่นี้เคยเป็นเมืองหลวงอาณาจักรน่านเจ้า ตอนที่ 2

มาท่องเที่ยวในเมืองโบราณต้าหลี่ (大理) กันต่ออีกตอน เป็นเมืองโบราณที่มีอายุกว่า 1,000 ปี เคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรน่านเจ้า ซึ่งเป็นอาณาจักรของชาวไป๋ ในราวศตวรรษที่ 8-9 และต่อมาได้เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรต้าหลี่ ในปี พ.ศ. 1480-1796

ในพื้นที่ภายในกำแพงเมือง มีร้านอาหาร และร้านกาแฟ เรียงรายอยู่หลายร้าน อดไม่ได้ที่จะไม่แวะนั่งจิบกาแฟยูนนานดูบ้าง แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญ คือ หาที่นั่งพักขานั่นเอง ได้นั่งจิบกาแฟ ชมวิถีชีวิตผู้คนผ่านไปมา ทั้งชาวบ้านที่ยังหาบสินค้ามาขาย และนั่งท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมา

สภาพบ้านเรือนที่ยังคงสภาพเดิมอยู่ ซึ่งบางส่วนก็เปลี่ยนจากบ้านเรือนที่พักอาศัย ไปเป็นร้านอาหาร ร้านค้าต่างๆ

และมีมุมถ่ายรูปที่อยากเก็บความทรงจำไว้ด้วยภาพถ่าย แถมใช้ WIFI ของร้านกาแฟเช็คอินปักหมุดบนแผนที่ และโพสต์เข้าเฟสบุ๊ค (Facebook) อินสตาแกรม (Instagram) ผ่าน VPN ได้สบาย

ในบริเวณนี้ มีแผงลอยที่ขายต้นไม้ประดับต่างๆ รวมทั้งดอกไม้สวยงามหลากหลาย ซึ่งได้เคยดูสารคดีเกี่ยวกับเมืองคุนหมิง เป็นแหล่งค้าไม้ประดับขนาดใหญ่ เป็นเพราะในแถบนี้อุณหภูมิเฉลี่ยนั้น กำลังสบายๆ ไม่หนาวจัด ไม่ร้อนจัด

ทำให้ไม้ดอกไม้ประดับ เติบโตได้ดี ... ยังได้จังหวะเที่ยวชมแสงสวยๆ จากดวงอาทิตย์ยามเย็นในบริเวณนี้

สนุกกับการบันทึกภาพบรรยากาศแบบย้อนแสงดูบ้าง สังเกตเห็นหลายคนที่มีกล้องอยู่ในมือ ก็หยุดยืนถ่ายภาพที่อยู่ตรงหน้านี้หลายๆ คน คงเป็นเพราะไม่ค่อยได้เห็นแสงแบบนี้บ่อยนัก แสงที่สาดท่องทิวเขา ทำให้มองเห็นความเข้มของลำแสงที่แตกต่างกัน

แดดร่ม ลมตก อากาศเริ่มเย็นขึ้น ซึ่งหลงเสน่ห์ของเมืองโบราณแห่งนี้ตรงที่มีร่องน้ำตามทางเดิน และบรรยากาศไม่แออัด ที่สังเกตถึงความสะอาด ซึ่งการมาท่องเที่ยวยังประเทศจีนในระยะหลังๆ จะเห็นได้ว่า บ้านเมืองมีความเป็นระเบียบ สะอาดสะอ้านมากขึ้นทุกๆ ปี

ร้านค้าต่างๆ ก็มีความเป็นระเบียบ สินค้าที่ระลึกหลากหลาย

แอบชื่นชมประเทศจีนเสมอ เรื่องการบริหารจัดการสถานที่ท่องเที่ยวให้ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากชาวจีนด้วยกันเอง รวมไปถึงนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ

ซึ่งแน่นอน สร้างความประทับใจให้นักท่องเที่ยว ก็จะเป็นการบอกต่อๆ กัน ชักชวนให้มาท่องเที่ยวกัน เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจและในการช่วยกันบำรุงรักษาสถานที่ให้คงอยู่ยาวนาน

นอกจากรักษาแล้ว ยังต้องสร้างเพิ่มเติมให้คงสภาพดีดังเดิม อย่างเช่น "เมืองโบราณต้าหลี่" นั้น มีประตูเมืองและมองเห็นกำแพงเมืองล้อมรอบ ซึ่งความจริงแล้วจากอดีตนั้นหลงเหลือแต่ประตูเมืองเก่า แต่ทว่ามีการสร้างกำแพงขึ้นมาใหม่เพื่อล้อมรอบ ให้กลับมามีสภาพเหมือนเมื่อครั้งเก่าก่อน

เจอกับเจ้าอัลปาก้า (Alpaca) ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อยู่ในวงศ์อูฐ พบได้ในที่สูงบริเวณแถบเทือกเขาแอนดีสในทวีปอเมริกาใต้ ซึ่งอัลปากานั้น ไม่ได้ถูกเลี้ยงไว้ใช้ขนสัมภาระ แต่จะถูกเลี้ยงเพื่อนำขนมาทำเป็นเสื้อผ้าและเครื่องนุ่งห่ม

เดินเที่ยวอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็ได้เวลากลับออกจากเมืองโบราณต้าหลี่ เพื่อนั่งรถกลับไปยังโรงแรมที่พัก

โชคดีที่พักในฝั่งด้านที่มองเห็นวิวนี้ จึงได้เก็บภาพช่วงเย็นของ "ทะเลสาบเอ๋อไห่" ที่ได้รับสมญานามว่า "ไข่มุกแห่งที่ราบสูง" จากห้องพักในโรงแรม มองเห็นกังหันลมจำนวนมากที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม

เช้าตรู่ในวันอากาศหนาว ที่ต้องตื่นนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น จึงได้เก็บภาพบรรยากาศแสงสวย

รอจนกระทั่งพระอาทิตย์โผล่พ้นทิวเขา เห็นดวงกลมสีทอง

แสงทองสาดส่อง ช่วยเพิ่มความอบอุ่นในวันอากาศหนาว ... "ทะเลสาบเอ๋อไห่" มีความยาวโดยรอบ 116 กิโลเมตร มีพื้นที่ถึง 250 ตารางกิโลเมตร และมีความลึกเฉลี่ย 11 เมตร น้ำที่ทะเลสาบจะมีความใสสะอาด ซึ่งเป็นน้ำที่มาจากหิมะที่ละลายจากเทือกเขาชางซาน และที่ราบสูงทิเบต ไว้หล่อเลี้ยงผู้คนทั้งเมืองนี้

คนไทยเราเรียก "ทะเลสาบเอ๋อไห่" ว่า "หนองแส" และเป็นจุดเริ่มต้นของพญานาค เพราะที่นี่คือ "จุดเริ่มต้นของแม่น้ำโขง" อย่างนี้นั่นเอง

เช้านี้พวกเราต้องเดินทางจากเมืองต้าหลี่ กลับเข้าสู่เมืองลี่เจียง ระหว่างทางหยุดแวะถ่ายภาพกับสัญลักษณ์ของเมืองต้าหลี่ นั่นก็คือ "เจดีย์ 3 องค์" องค์ใหญ่สูงประมาณ 70 เมตร เป็นทรงสี่เหลี่ยม มี 16 ชั้น ภายในมีพระพุทธรูปเก่าแก่ประดิษฐานอยู่

แต่เดิมมีองค์เดียวแล้วมีการสร้างขึ้นมาเพิ่มอีกสององค์ โดยที่องค์แรกสร้างมานับพันปีมาแล้วในยุคสมัยอาณาจักรน่านเจ้า ราชวงศ์ถัง ซึ่งเมื่อก่อนที่นี่ได้เกิดน้ำท่วมบ่อยมาก และคนเชื่อว่าน้ำท่วมเกิดจากมังกรเล่นน้ำในทะเลสาบเอ๋อไห่ ภายหลังพระสงฆ์จึงได้สร้างเจดีย์ 8 เหลี่ยม สูงประมาณ 48 เมตร มีทั้งหมด 10 ชั้น ขึ้นมาใหม่เพราะเชื่อว่ามังกรนั้นจะเคารพเจดีย์ จึงไม่กล้าทำให้น้ำท่วมอีก

ด้านหลังของพระเจดีย์เป็นภูเขาชังซานที่สูงตระหงาน และเบื้องหน้าเป็นทะเลสาบเอ๋อไห่ที่สวยงาม เจดีย์อยู่ภายใน "วัดฉงเซิ่ง" เป็นวัดเก่าแก่สร้างในสมัยราชวงศ์ถัง และได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดของประเทศจีน ซึ่งการมาเที่ยวส่วนใหญ่จะไม่ได้เข้าไปที่วัด เนื่องจากมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก แต่จะเลือกมุมถ่ายรูปเจดีย์สามองค์จากด้านหน้าไกลๆ แทน หากใครมีเวลามากๆ ที่มาเที่ยวที่เมืองต้าหลี่ ก็อยากหาโอกาสเข้าไปเที่ยวชม คงต้องใช้เวลาอยู่ในนั้นทั้งวัน และต้องเสียค่าตั๋วเข้าไปชมภายใน

เจดีย์ทั้ง 3 องค์นี้ ชาวเมืองต้าลี่เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก แม้ว่าจะเจอกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่สร้างความเสียหายให้กับชาวเมืองเป็นอย่างมาก แต่ว่าเจดีย์ 3 องค์นี้กลับไม่เสียหายเลย ยังคงตั้งตระหง่านได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ

หลังจากเก็บภาพสัญลักษณ์เจดีย์ 3 องค์แล้ว ก็เดินทางกันต่อ สังเกตเห็นกังหันลมจำนวนมากๆ บนทิวเขาเพื่อเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญ รวมทั้งเสาไฟฟ้าที่ติดตั้งแผงโซล่าร์เซล เพื่อผลิตและเก็บไฟฟ้าไว้ใช้เป็นไฟส่องสว่างยามค่ำคืน

จะเห็นได้ว่า ประเทศจีนได้ให้ความสำคัญของพลังงานสะอาด ได้ข้อมูลว่า ประเทศจีนสามารถผลิดแผง Solar Cell ได้มากที่สุดในโลก หากทุกชาติหันมาเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม ให้มากขึ้นน่าจะเป็นการดี ช่วยลดหรือชะลอปัญหาของภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง

มองเห็นวิถีเกษตรที่ยังมีอยู่มากในแถบนี้ของประเทศ

ซึ่งไม่เห็นโรงงานอุตสาหกรรมตลอดการเดินทางทั้งสองข้างทาง

ด้วยความสะดวกในการเดินทางทริปนี้ ที่ใช้เส้นทางซุปเปอร์ไฮเวย์ที่ยังใหม่ ทำให้ลดเวลาในการเดินทาง โดยลอดผ่านอุโมงค์หลายๆ แห่งที่ลอดภูเขาหลายๆ จุดซึ่งยอมรับและชื่นชมในเทคโนโลยีของการสร้างระบบคมนาคมของประเทศจีน

แอบดีใจทุกครั้งที่มีข่าวการเข้ามาลงทุนในงานด้านคมนาคมจากรัฐบาลจีน เพราะเชื่อว่าน่าจะดำเนินการได้จริง เห็นได้จากถนนหนทางต่างๆ ที่มีโอกาสมาท่องเที่ยวในหลายๆ เส้นทางท่องเที่ยวในประเทศจีน ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและรวดเร็วมาก

พวกเราก็มุ่งหน้ากันต่อ เพื่อกลับไปยังเมืองลี่เจียง ซึ่งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามอีกมาก อยากแนะนำให้ท่องเที่ยวแถบนี้ของประเทศจีนดูบ้าง ด้วยการเดินทางเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งจากเมืองไทย ก็ได้สัมผัสธรรมชาติและสถาปัตยกรรมโบราณจำนวนมาก เชื่อว่าจะต้องประทับใจในการท่องเที่ยวอย่างแน่นอน