เมื่อสองปีที่แล้ว ได้มีโอกาสไปเที่ยวแถบมณฑลซื่อชวน (เสฉวน-Sichuan) ได้เจอเทือกเขาหิมะและยังคิดไปเลยว่า ถ้าอยากเห็นภูเขาหิมะก็สามารถบินมาซัก 4 ชั่วโมง และนั่งรถต่ออีกเป็นวัน ก็ได้เห็นภูเขาหิมะสวยงามได้แล้ว โดยไม่รู้มาก่อนว่า ยังมีอีกเส้นทางที่ใกล้กว่าและสามารถมาเที่ยวชมภูเขาหิมะแบบนี้ได้ตลอดทั้งปี
แค่บินตรงมายังเมืองลี่เจียง เพียงไม่ถึง 3 ชั่วโมง ก็ได้สัมผัสเทือกเขาหิมะได้แล้ว ซึ่งเมื่อก่อนฟังจากเพื่อนๆ ที่มาท่องเที่ยวมักบ่นว่า ต้องบินลงเมืองคุนหมิงแล้วนั่งรถกว่า 4 ชั่วโมง กว่าจะมาถึงเมืองลี่เจียง (Lijiang) แห่งนี้ และไปเที่ยวแต่ละเมืองในทริปก็ต้องนั่งรถเยอะมากทั้งวัน ทำให้เรามองข้ามและไม่ได้สนใจเที่ยวเส้นทางนี้ซักเท่าไร แต่สมัยนี้มีเส้นทางด่วนผุดขึ้นมาใหม่ ร่นระยะทางและระยะเวลาได้มาก
อีกทั้งบางคนก็บ่นว่า แพ้อากาศเบาบาง ทำให้ไม่สบาย เที่ยวไม่สนุก ทำให้เราเองก็ชักไม่แน่ใจว่า จะมีปัญหาบนระดับความสูงกว่า 3,300 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลหรือไม่ แต่พอมาถึงแล้ว สบายมาก ไม่ต้องใช้ตัวช่วย "ออกซิเจนกระป๋อง" เลย
สำหรับทริปนี้ พวกเราเหล่า สว. ก็เลือกเที่ยวที่ระดับความสูง 3,356 เมตร โดยกระเช้าเล็กไปยังทุ่งหญ้าหวินซานผิง (Yunshanping) แต่ก็มีบางส่วนที่เลือกไปเที่ยวที่ระดับความสูง 4,506 เมตร โดยกระเช้าใหญ่ไปยังบริเวณลานหิมะของภูเขาหิมะมังกรหยก
ได้เวลาขึ้นรถบัส เพื่อพาไปยังจุดขึ้นกระเช้ากันแล้ว
ระหว่างทางก็ได้รู้สึกตื่นเต้นกับสระน้ำสีฟ้า ราวกับกำลังท่องเที่ยวอยู่ที่อุทยานจิ่วจ้ายโกว
ที่นี้ยังได้ชื่อว่า "จิ่วจ้ายโกวน้อย" อีกด้วย ด้วยความสวยงามของสระขนาดใหญ่
รถบัสมาส่งยังบริเวณทางเดินขึ้นกระเช้าเล็กกันแล้ว
นั่งกระเช้าขึ้นเพียงไม่กี่นาที ก็ถึงจุดหมายที่ความสูง 3,356 เมตร
ไม่มีปัญหาเรื่องอากาศเบาบาง แต่ก็พกตัวช่วยไว้ก็ดี เพราะหากเดินช้าก็คงไม่มีปัญหาอะไร
เผลอตอนเดินขึ้นไปยังป่าสน ก้มไปจัดการสายรัดรองเท้า พอเงยหน้าขึ้นรู้สึกมึนไปนิดหน่อย แต่ก็เดินต่อไปได้สบาย เพราะอากาศเย็นสดชื่น และป่าสนดึกดำบรรพ์
ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ AAAAA (ห้า A) ซึ่งทางการจีนอนุรักษ์ไว้อย่างดี
สิ่งที่กลัวที่สุด คือ ไฟป่า ซึ่งห้ามนำไฟแช๊คหรืออื่นๆ ที่ทำให้เกิดไฟ เพราะหากเกิดไฟป่า ไม่รู้ว่าจะต้องให้เวลานับร้อย หรืออาจนับพันปี จึงจะให้สภาพป่ากลับมาสมบูรณ์ได้ดังเดิม
ป่าเมืองหนาว และอยู่ระดับสูงจากน้ำทะเลมากๆ ก็จะมีสภาพแตกต่างจากป่าที่เราพบเห็นในบ้านเรา
มีใบไม้เปลี่ยนสีให้รู้สึกสดชื่น ระหว่างการเดินหอบแฮกๆ ให้เป็นข้ออ้างหยุดเก็บภาพ เพื่อพักหายใจ
ไม่นานนักก็เดินมาถึงทุ่งหญ้าหวินซานผิง (Yunshanping) (Yúnshān Píng, 云杉坪) หรือ Spruce Meadow เป็นทุ่งหญ้าสีเหลืองทองขนาดใหญ่เป็นทุ่งราบทางด้านตะวันออกของภูเขาหิมะมังกรหยก
และมีฉากหลังเป็นภูเขาหิมะมังกรหยก (玉龙雪山 - Yùlóngxuě Shān - Jade Dragon Snow Mountain)
มีแพะ แกะ ที่กำลังแทะเล็มหญ้าอยู่หลายตัว ระหว่างเดินในบริเวณนี้ก็ได้กลิ่นหอมเตะจมูกจากเนื้อย่างควันโขมง ด้วยความหิวเนื่องจากใช้พลังในการแบกร่างกายและกล้องถ่ายภาพ จึงอดไม่ได้ ต้องขอลอง โดยไม่รู้ว่าเนื้ออะไร?
จัดมา 2 ไม้ แบบไม่โรยพริกป่น ขอบอกว่า ร้อนๆ อร่อยฟินสุดๆ ในบรรยากาศนี้ ได้พลังงานขึ้นมาในทันทีเกือบเต็ม 100%
เดาว่า คงเป็นเนื้อจากเจ้าตัวที่วิ่งไปวิ่งมาในทุ่งหญ้านี้นั่นแหล่ะ!
เดินต่อไปตามทางเดิน ซึ่งจะเป็นเส้นทางโดยรอบของทุ่งหญ้าหวินซานผิง (Yunshanping)
เดินบันทึกภาพความงามของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
ภาพแบบนี้ อาจคล้ายคลึงกับภาพทุ่งหญ้าในสวิสเซอร์แลนด์ หรือในยุโรปที่มีเทือกเขาเป็นฉากหลัง และมีทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์
แต่นี่เดินทางน้อยกว่าเกือบ 4 เท่า ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวถูกกว่า 5 เท่า
ก็ได้ชมธรรมชาติที่มีความคล้ายคลึงกันได้ หรือถ้าขึ้นไปเที่ยวที่ระดับความสูง 4,506 เมตร โดยกระเช้าใหญ่ไปยังบริเวณลานหิมะของภูเขาหิมะมังกรหยก โดยขอหยิบยืมภาพจากเว็บไซต์อื่นๆ มาแสดงให้มองเห็นภาพ
ยิ่งพูดได้เต็มปากเลยว่า "นี่มัน สวิสเซอร์แลนด์ ชัดๆ" ไว้คราวหน้าจะไปให้ถึง
ใกล้เวลานัดหมายแล้ว พวกเราก็เดินกลับมายังจุดนัดพบ
ถือเป็นอีกความประทับใจในการท่องเที่ยว และตั้งใจจะกลับมาเที่ยวที่เมืองลี่เจียงแห่งนี้อีกอย่างแน่นอน รวมทั้งอยากเดินทางไปถึง แชงกรีล่า และ ย่าติง
คิดว่าน่าจะสอบผ่านเรื่อง อาการแพ้ที่สูง
ได้เวลานั่งกระเช้ากลับลงมาทางเดิม เพื่อมายังรถบัส
มองเห็นสระน้ำสีฟ้าจากบนกระเช้า เรียกได้ว่าเป็นทริปที่ครบรสจริงๆ
ในภาพนี้ จะมองเห็นต้นไม้ที่ดูแปลกประหลาดกว่าต้นอื่นๆ อยู่ตรงนั้น
ซึ่งหลายท่านที่มาเที่ยวยังประเทศจีนคงทราบแล้วว่า คือ เสาโทรศัพท์ นั่นเอง ที่มีการตกแต่งให้เข้ากับธรรมชาติ ซึ่งต้องขอชื่นชม
ระหว่างนั่งรถออกจากอุทยาน ก็มีโอกาสเก็บภาพนี้จากบนรถอีกครั้ง
ภาพอาจไม่ชัดเจนนัก เพราะต้องถ่ายผ่านกระจก และระหว่างรถบัสกำลังแล่นอยู่
ก็ได้เวลาจากลา ภูเขาหิมะมังกรหยก แต่เป็นการลาที เพราะต้องกลับมาเที่ยวสถานที่นี้อีกอย่างแน่นอน เก็บความประทับใจมาถ่ายทอดบันทึกไว้ตรงนี้กัน
ถือโอกาสใกล้เทศกาลแห่งความสุข ต้อนรับปีใหม่ ขอส่งความสุขแด่เพื่อนๆ ที่แวะเข้ามาอ่านบล๊อก รวมทั้งบล๊อกเกอร์ทุกท่าน ให้มีความสุข สุขภาพดี และมาแบ่งปันบันทึกกันบนสังคมโอเคแห่งนี้