รถไฟความเร็วสูง (ICE) เดินทางมาถึงสถานีที่ปารีสเกือบจะห้าโมงเย็น ไม่พูดพร่ำทำเพลง ขอบันทึกภาพให้สมกับการมาเดินแบบ เอ๊ย! เดินแบกกระเป๋า แบกขาตั้งกล้อง อีกทั้งกล้องถ่ายรูปอีกด้วย
หัวหน้าก๊วนจัดแจงซื้อตั๋วรถไฟไว้ก่อน เพราะเราจะอยู่ในปารีสถึง 5 วัน จึงซื้อตั๋วให้คุ้มในการใช้เดินทางไปมาหลายเที่ยว สังเกตเห็นทหารพร้อมอาวุธครบมือ ทำเอาหวาดเสียวเล็กน้อยว่า เกิดอะไรขึ้น เพราะนี่เป็นทหารจริง คงไม่ได้กำลังถ่ายหนัง หรือถ่ายแบบอยู่อย่างแน่นอน
นี่ซิ ถึงจะเป็นการถ่ายแบบ พูดแล้วกระดากปากเล็กน้อย
จากนั้นก็เดินลากกระเป๋าจากสถานีรถไฟ ไปยังโรงแรมที่พัก ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ... ด้วยความตกใจว่า ทำไมร้อนจัง เห็นแดดแรงแบบนี้ อากาศร้อนยังกับอยู่ในกรุงเทพฯ
แต่ที่ไหนได้ พอหลบเข้าทางเดินระหว่างตึก อากาศก็เย็น ยิ่งตกดึกอากาศยิ่งหนาวขึ้นมาก
ความรู้สึกแตกต่างจากแฟรงค์เฟิร์ตที่พวกเราเพิ่งจากมา เพราะปารีสจะดูจอแจกว่า
และที่สำคัญคือ เราต้องระมัดระวังตัวมากๆ ในขณะที่เวลาเดินอยู่ในแฟรงค์เฟิร์ต จะรู้สึกปลอดภัยกว่ามาก
เมื่อเราข้ามซอยนี้ไป เราก็จะถึงโรงแรม Hotel Chabrol Opera และมองไปทางขวาจะเห็น Saint Vicent de Paul ซึ่งเราจะไปเที่ยวกันในวันรุ่งขึ้น แต่ถ้าอดใจรอไม่ไหว จะลองเที่ยวรอบๆ ด้วยตัวเองผ่าน Google Maps Street View ก็ไม่ว่ากัน กดที่นี่เลย (+)= เดินเที่ยวได้ สบายกระเป๋า แล้วจะทึ่งกับเทคโนโลยีในวันนี้ ไม่เพียงแค่ความฝันอีกต่อไป ที่สามารถเดินเที่ยวไปผ่านหน้าจอเหมือนกำลังยืนอยู่ในสถานที่จริง
จัดแจงวางสัมภาระ ล้างหน้าล้างตา ก่อนออกไปจุดนัดพบกับน้องอีกคนที่ทำงานอยู่ในปารีส ซึ่งคืนนี้พวกเราจะไปหาอะไรอร่อยๆ ทานกับ ... จะพาไปกิน ตับ ตับ ๆๆๆ
พวกเราเดินย้อนกลับมาที่สถานีรถไฟ เพื่อเดินทางด้วยรถไฟใต้ติดไปยัง สถานี Musée du Louvre (Paris Métro) ซึ่งไปโผล่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ (Musée du Louvre)
ภายในสถานีหัวลำโพง Paris Est Train Station (Paris Gare de l'Est) แห่งนี้ มีสถาปัตยกรรมใหม่ผสมเก่า พร้อมภาพเขียนขนาดใหญ่
เมื่อผ่านประตูเข้ามายังสถานีรถไฟใต้ดิน ขอบอกว่าต้องศึกษาสีของรถไฟแต่ละสายให้ดี ไม่เช่นนั้น หลงแน่นอน เพราะพันกันยุ่งเหยิงอยู่ใต้ติด สภาพรถไฟขอบอกว่า เก่าและไม่สะอาดนัก นึกถึงรถไฟฟ้าบ้านเราขึ้นมาทันที แต่บ่นไม่ได้ เพราะเรายังต้องใช้บริการอีกหลายต่อหลายเที่ยว
มาถึงแล้ว พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ แต่วันนี้แค่น้ำจิ้ม เดินผ่านให้ได้เรียกน้ำย่อยเท่านั้น ไว้มาจัดเต็มในวันอื่น
เดินให้สะใจ สมกับเป็นพิพิธภัณฑ์ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศส หรือของโลกก็ว่าได้
บริเวณภายนอกก็สุดอลังการงานสร้าง
ลมพัดเอื่อยๆ เย็นสบาย รีบเดินไปยังจุดนัดพบน้อง
เจอกันเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งตรงไปยังร้านอาหาร เพราะว่าเริ่มหิวได้ที่แล้ว
มองผ่านกระจกใส ภายในมุมหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เห็นความใหญ่โตและนี่เพียงห้องหนึ่งจากอีกนับไม่ถ้วน
ไว้จะเขียนและนำภาพ พาทัวร์เข้าชมภายในพิพิธภัณฑ์ซัก 4-5 เอนทรี ให้จุใจไปเลย ดีมั้ย?
ระหว่างนี้ เดินชมตึกสวยๆ ภายนอกไปก่อน
แสงสุดท้ายของวัน เริ่มลดระดับความสว่างลง นั่นกำลังบอกว่า ได้เวลาอาหารค่ำกันแล้ว
เดินผ่านศูนย์ ชอร์ช ปงปีดู เป็นศูนย์ศิลปวัฒนธรรม เปิดเมื่อปี ค.ศ. 1977 ด้วยสถาปัตยกรรมที่นำท่อต่างๆ ทาสีสวยสดหน้าตัวอาคาร เป็นแหล่งรวมศิลปะสมัยใหม่ของฝรั่งเศส รวมทั้งโรงหนัง ห้องสมุด ร้านค้า และสถานที่จัดการแสดง
ลานด้านหน้านอกตัวอาคาร เป็นที่โปรดปรานของชาวปารีส และนักท่องเที่ยว ซึ่งภาพนี้ถ่ายตอนค่ำภายหลังที่ทานอาหารเย็นเสร็จและมาเดินย่อยกัน
ใกล้ถึงจุดหมายแล้ว ซึ่งแถวนี้เต็มไปด้วยร้านอาหาร และคึกคักกันทุกร้าน
ถึงแล้ว ร้าน Le Pavé ดูซิมารีวิวไกลจัง
เริ่มจากอาหารจานเรียกน้ำย่อย ไม่ว่าจะเป็น ตับ ตับๆๆๆ ตับห่าน (Foie Gras), ผักย่าง และสลัดที่มาแชร์มาชิมกัน
ทีเหลือจะเป็นเมนูจานหลักของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็น เป็ด ปลา หมู เนื้อ และเฮาส์ไวน์ รสนุ่ม ปิดท้ายด้วยขนมหวาน
อร่อยทั้งอาหาร อร่อยทั้งบรรยากาศภายนอก
เมื่อครั้งเขียนบล๊อกใหม่ เคยคิดเล่นๆ ว่า อยากมีโอกาสไปรีวิวโรงแรม และก็ได้สบโอกาสนั้นจริงๆ ตอนนี้ ฝันอยากมีโอกาสเป็นนักรีวิวอาหารดูบ้าง
ได้เวลาร่ำลาและชื่นชมรสชาดอาหาร และความเป็นกันเองของเจ้าของร้านนี้ ซึ่งน้องที่พามาเขาทานบ่อยๆ จนคุ้นเคย และอาหารอร่อยจริง
ได้เวลาเดินย่อยของอร่อย ชมบรรยากาศสลัวๆ ในย่านนี้
ชอบในความสวยงามของตึกที่ไม่ต้องมีสีสันฉูดฉาด
แต่ให้มีรูปแบบคล้ายคลึงกันอย่างมีเอกลักษณ์ และถนนคนเดินท่ามกลางอากาศหนาว
สีสันยามค่ำคืน ร้านค้าเปิดไฟสลัว แต่ถ้าเป็นมุมอื่นๆ ที่มืด ก็ต้องระมัดระวังตัวกันมากๆ ใน ปารีส เช่นกัน
ไอศกรีมเจลาโต้ (Gelato) มีอยู่หลายๆ ร้าน ในย่านนี้ อย่างร้าน Amorino
ยิ่งทานไอศกรีมท่ามกลางอากาศหนาว ยิ่งอร่อย
แต่รู้สึกว่าตอนนี้ กระเพาะอาหาร ไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับเจลาโต้ซะแล้ว เก็บไว้วันอื่นแทนแล้วกัน ได้เวลากลับโรงแรม นอนพักผ่อนสำหรับวันแรกในทริปนี้ เพื่อเติมพลังสำหรับวันใหม่ต่อไป