หลังจากอิ่มหนำสำราญจากอาหารเที่ยงแสนอร่อย ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ ซึ่งบ่ายวันนี้ เราจะต้องไปตามหาหอคอย ที่รอคอยเธอมานานแสนนาน
ก็ตั้งใจมาเที่ยวปารีส ก็เพราะเธอนั่นเอง "ไอเฟล" จากจุดนี้ เราก็ต้องเดินเท้ากันต่อไปลงรถไฟใต้ดิน
หลังจากอิ่มท้อง ก็มีพลกำลังยกกล้องขึ้นเก็บภาพบรรยากาศไปเรื่อยๆ
เห็นร้านขายโปสการ์ดยิ่งตอกย้ำว่า บ่ายวันนี้ ฉันจะต้องไปกอดเธอให้ได้ หรือไปอยู่ใกล้ๆ ก็ยังดี
เดินไป คุยไป บ่นไป นวดไปก็ยังมีให้เห็น
อดไม่ได้ที่จะบันทึกภาพสถาปัตยกรรม ได้เห็นความเป็นปารีสได้อย่างลึกซึ้ง
แสดงออกถึงความใส่ใจ ปราณีต ไม่เป็นเพียงปูนเปล่า แต่ถ้าใส่ศิลปะเข้าไป ก็ทำให้ปูนนั้นมีคุณค่ายาวนาน
มาแวะร้านขนมร้านเดิมอีกครั้ง ซื้อขนมทานเล่นกันอีก
"เอแคลร์" ใส้กาแฟแป้งบางนุ่ม แต่บ้านเรามักจะเจอ แป้งหนาใส้น้อยอยู่บ่อยๆ ... อั้ม! อืม . o O
ระหว่างทาง ก็เจอเข้ากับประตูบ้านแต่ละหลัง เป็นประตูไม้อย่างหนา แต่สีสันช่างยั่วยวนใจให้โพสกันซักหน่อย
ไม่นานนัก เราก็เดินกลับมาถึงโรงแรมที่พัก ซึ่งห่างไปเพียงเล็กน้อย ก็เป็นทางลงสถานีรถไฟใต้ดิน (Métro de Paris) ซึ่งเราก็ใช้ตั๋วที่ซื้อมาตั้งแต่เมื่อวาน เพราะเป็นการเดินทางหลักระหว่างเที่ยวอยู่ในปารีส 4 วันเต็ม ซึ่งสะดวกมาก
การเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินในปารีส เป็นอะไรที่ซับซ้อนมาก เพราะได้ชื่อว่า กรุงปารีสเป็นเมืองที่มีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินที่หนาแน่นที่สุดในโลก ด้วยจำนวนสถานีกว่า 245 สถานี ภายในเนื้อที่ 41 ตารางกิโลเมตรของกรุงปารีส
แต่ละสายจะมีชื่อเป็นหมายเลขตั้งแต่ 1 ถึง 14 และมีสายรองอีกสองสายคือ 3bis และ 7bis สายรองทั้งสองเคยเป็นส่วนหนึ่งของสาย 3 และ 7 แต่แยกตัวออกมาภายหลังในปี พ.ศ. 2514 และ พ.ศ. 2510 ตามลำดับ เรียกได้ว่า ทำเอามึนเพราะพันกันยุ่งอยู่ใต้ดิน แค่เดินเปลี่ยนอยู่ในสถานีก็ทำเอาเวียนหัวได้เหมือนกันโดยเฉพาะเราคนกรุงเทพฯ ที่ไม่คุ้นเคย
แถมบางสถานีก็แอบศิลป์ เล่นเอามีการโพสเลียนแบบนิตยสารกันน่าดู เอาน่า! มาปารีสทั้งที่ สุดๆ ไปเลย ไม่ฮาไม่ใช่พวกเรา
แอบหวังไว้ว่า โผล่จากสถานีปุ๊บ จะมองเห็นหอไอเฟลทันที ที่ไหนได้ ทำไม หอไอเฟล เล็กขนาดนั้นล่ะเนี่ย!
เงยหน้าขึ้น โอ้ว! ว้าว! มาถึงแล้ว หอไอเฟล ฉันรอคอยมานานแล้วที่จะมาอยู่ใกล้ๆ
ของจริงแน่นอน กด "Like" ถูกใจ ใช่เลย
มีทิวลิปอยู่แถวนี้ เก็บภาพไว้หน่อย แช๊ะ!
เดินมาใกล้เขาไปอีก ได้เห็นความยิ่งใหญ่ สวยงาม สมแล้วที่ได้ชื่อว่า "หอคอยที่สวยที่สุดตราบจนทุกวันนี้"
มองเห็นลิฟท์ที่นำคนขึ้นไป ซึ่งอาจต้องรอคอยถึง 2 ชั่วโมง ในวันที่คนแน่นๆ
ด้วยคานเหล็กที่ซับซ้อนที่ต่อเชื่อมด้วยหมุด 2.5 ล้านตัว ทำให้หอไอเฟลแข็งแรง ไม่สั่นคลอน ชิ้นส่วนโลหะจำนวน 18,000 ชั้น สามารถขยายตัวได้ถึง 15 ซ.ม. นำหนักรวม 10,100 ตัน
เรามาถึงจุดกึ่งกลางของหอไอเฟลแห่งนี้ เอาเท้ามาสัมผัสเป็นสักขีพยานกันหน่อย ว่าเราเพื่อนรักทั้ง 5 คนมายืนอยู่ตรงจุดนี้ ... อ้าวหายไปไหนอีกหนึ่งเท้า
เห็นมั้ย หากมองขึ้นไป เราอยู่กึ่งกลางใต้หอไอเฟลพอดี
นั่นไง!
ครบ 5 แล้ว ... พวกเรานัดกันว่า อีก 30 ปี มาอยู่ตรงจุดนี้กันอีก อาจมาในสภาพถือไม้เท้า นั่งรถเข็น ก็คงไม่ทราบได้ในวันนั้น
ฟ้าเป็นพยาน ... ฮ่าๆ โอ๊ย! แต่ว่าเริ่มสวยได้ใจ
ขอถ่ายภาพคู่กับ วิศวกรเอก กูสตาฟว์ ไอเฟล ซะหน่อย ... ผู้ออกแบบหอไอเฟลสัญลักษณ์แห่งปารีส สร้างขึ้ในปี ค.ศ. 1889 โดยเป็นส่วนหนึ่งของงานยูนิเวอร์แซลเอ็กซิบิชัน
ถึงจุดนัดพบกับเพื่อนที่อาศัยอยู่ที่ปารีส เพื่อไปดื่มกาแฟคุยกันในร้านอาหารอีกฝั่งของแม่น้ำแซน
เจอเข้ากับตุ๊กๆ ในปารีส ไม่รู้ว่านำมาจากบ้านเรารึป่าว
แต่ของเขาประยุกต์และสามารถเปิดประทุนได้ด้วย
พวกเราเดินกันต่อ ข้ามสะพานซึ่งทอดข้ามแม่น้ำแซน (Seine) มีเรือนำนักท่องเที่ยวผ่านไปมาตลอดเวลา
จากมุมนี้ยังมองเห็นโบสถ์ซาเกร-เกอร์ สีขาวมุมบนทางขวาได้ชัดเจน ที่เพิ่งไปท่องเที่ยวกันเมื่อช่วงเช้า
เดินไป เก็บภาพความประทับใจไป
มองไปมุมไหน ก็สวยไปหมด มหานครปารีสแห่งนี้
น่าเหมาเรือลำนี้ นั่งกินดื่ม แกล้มกับความสวยงามตลอดสองฝั่งแม่น้ำแซน
เจอการแสดงเปิดหมวกหลายๆ จุดบนสะพานแห่งนี้ ก็สร้างบรรยากาศสีสันดี
ชอบมุมนี้เป็นพิเศษ จึงขอบันทึกภาพไว้เป็นความทรงจำที่สวยงามของหอไอเฟล
ไม่ว่าจะถ่ายภาพมุมไหนของหอไอเฟลดูดีไปหมด และทำให้คนในภาพดูดีไปด้วย ... ว่ามั้ย! อดใจรอจะพาไปชมหอไอเฟลกันต่ออีกซักตอน รับรองจุใจครบรสแน่นอน