Disable Preloader




ร้อนนัก ไปพักร้อน 2011 ตอนที่ 10 : วันนี้พวกเรามีนัดกับ Mona Lisa ที่ปารีส

เช้าวันนี้พวกเรามีแผนการเดินทางไปยังพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ หนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่น่าทึ่งที่สุดของโลก มีงานศิลป์ที่ประเมินค่ามิได้ถึง 350,000 ชิ้น หนึ่งในนั้นก็คือ ภาพวาด "โมนาลิซา" ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจแรงหนึ่งที่ทำให้พวกเราต้องเดินทางมายังปารีสในทริปนี้

ท่าทางแต่ละคน เหมือนกำลังพยายามติดต่อหาเธอ เพื่อยืนยันนัดหมายในเช้าวันนี้

ก่อนออกเดินทาง เราก็แวะร้าน Pastry ซึ่งห่างจากโรงแรมไม่กี่สิบเมตร

ด้วยความอร่อยและอัธยาศัยไมตรีที่ดีของเจ้าของร้าน พวกเราก็ต้องฝากท้องในมื้อเช้าตลอด 4 วันที่อยู่ในปารีส ที่เห็นในมือ คือ เอแคลร์เนื้อนุ่มครีมอร่อย

แต่ก็ต้องขอตัดความหวาน ด้วยกาแฟขมๆ หอมกรุ่น

หลังจากอิ่มอร่อยกันเรียบร้อย ก็เตรียมตัวเดินทางไปยังสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุด

มาโผล่ยังสถานี Musee du Louvre นั่นเอง

พวกเราเดินไปยังประตูทางเข้าหลัก ซึ่งอยู่ใต้พีระมิดแก้ว

สถาปัตยกรรมของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์มีความสวยงามมาก กษัตริย์ฟิลิป-โอกูสต์ สร้างอาคารแห่งนี้เพื่อเป็นป้อมกันภัยในปี ค.ศ. 1190 ต่อมา กษัตริย์ชาร์ลที่ 5 (ค.ศ. 1364-1380) ใช้ลูฟวร์เป็นพระราชวังส่วนตัว และในศตวรรษที่ 16 กษัตริย์ฟรองซัวที่ 1 หันไปใช้พระราชวังสไตล์เรอเนซองซ์แทน

หลังจากเก็บรวบรวมของหลวงที่ประกอบด้วย ภาพเขียน 12 ภาพแรกที่ปล้นสะดมมาจากอิตาลี กลุ่มปฏิวัติฝรั่งเศสเปิดให้ประชาชนเข้าชมในปี ค.ศ. 1793 จากนั้น กษัตริย์นโปเลียนก็ปรับปรุงให้ลูฟวร์กลายเป็นพิพิธภัณฑ์

มีคิวยาวพอสมควร ท่ามกลางแดดอุ่นๆ ช่วยคลายความหนาวได้อย่างดี

ระหว่างรอแถว ก็บริหารนิ้วมือด้วยการกดชัตเตอร์ไปรอบๆ

ขอออกนอกแถวบ้าง เพื่อความงามของฉากหลัง และท้องฟ้าสวยใส

มองย้อนกลับไป คิวยาวววว

มองพีระมิดให้เต็มตา เหมือนเคยเห็นทั้งในทีวี ในนิตยสารมาหลายต่อหลายครั้ง

ถือโอกาสมาสัมผัสอยู่ใกล้ๆ แบบนี้

แถวเลื่อนมาเกือบถึงประตูทางเข้าแล้ว

ไม่นานนัก เราก็มาอยู่ภายใต้พิรามิดเป็นที่เรียบร้อย

เจอบันไดที่วนสวยงามมาก อยู่ข้างๆ กับลิฟท์ทรงกระบอก ... พวกเราก๊วนนี้ร่ำเรียน สายวิทย์-ศิลป์ มาด้วยกันช่วงมัธยมปลาย ถือว่าทริปนี้เหมือนได้มาทัศนศึกษากันเพื่อชมงานศิลปะทุกแขนงอย่างจุใจ

เพื่อนไปจัดการเรื่องตั๋วเข้าชมมาให้แล้ว

เหมือนเป็นบัตรคิวนัดหมายกับเธอ ... โมนาลิซา

เพื่อนรีบพาพวกเราไปยังห้องแสดงภาพ โมนาลิซา เป็นจุดหมายแรก เพราะในช่วงเช้า นักท่องเที่ยวคงไม่หนาแน่นมาก

ระหว่างทางเดิน จะเจอกับผลงานศิลปะไปตลอดทาง

เห็นป้ายบอกทางแล้ว แสดงว่าไม่หลงแน่นอน ... ตอนแรกก็สงสัยว่า เราเข้าใจผิดมาตลอดเหรอ เพราะเห็นป้ายเขียน Monna Lisa ในทุกที่ จึงไปค้นจาก Google จึงทราบว่า สามารถเรียกได้ทั้ง "Mona Lisa" ซึ่งสะกดแบบภาษาอังกฤษ และ "Monna Lisa" ซึ่งเป็นการสะกดแบบอิตาลีสมัยใหม่

ภาพเขียนสวยงามเต็มไปหมดทั้งสองข้างทาง

หากจะชมให้ครบทุกภาพ เห็นว่าคงต้องใช้เวลาเป็นปีๆ

มาถึงแล้ว มาเจอให้หายคิดถึง "โมนาลิซา" ภาพวาดอันชวนพิศวงของ "เลโอนาร์โด ดา วินชี" ซึ่งวาดในปี ค.ศ. 1503-1506 ผลงานชิ้นนี้ โดยเฉพาะรอยยิ้มแสนลึกลับ แสดงให้เห็นเทคนิคชั้นครูของเลโอนาร์โด 2 อย่าง คือ Chiaroscuro หรือความแตกต่างของแสงและเงา กับ Stumato สีสันที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างแนบเนียน ภาพนี้ยังเป็นงานชิ้นโปรดของเลโอนาร์โดที่เขามักนำติดตัวไปทุกที่

สลับกันถ่ายภาพไปมา กล้องของเราถ่ายให้เพื่อน กล้องเพื่อนก็ถ่ายให้เรา

ขอกดไลค์ แต่ในใจกดเลิฟ

สังเกตระบบรักษาความปลอดภัยและกระจกที่หนาปกป้องภาพวาดระดับโลกเช่นนี้

ภาพที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับภาพ โมนาลิซา ก็คือ ภาพเขียนฝาผนังขนาดใหญ่ ซึ่งพยายามค้นหาข้อมูลว่าเป็นภาพเขียนของศิลปินผู้ใด

แต่ก็เป็นภาพของพระเยซู ซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าจะเป็นภาพพระกระยาหารค่ำมื้อสุดท้าย (The Last Supper) แต่ก็ไม่ใช่

ยิ่งซูมเข้าไป ยิ่งเห็นรายละเอียดของแต่ละคนในภาพ แสดงถึงอารมณ์อย่างละเอียดอ่อน

อีกทั้งภาพวาดมีขนาดใหญ่มากๆ ศิลปินต้องมีฝีมืออย่างแท้จริง

ไว้จะกลับไปค้นคว้าจากแผนที่นี้อีกครั้ง และจะกลับมาปรับปรุงเนื้อหา หากมีข้อมูลเพิ่มเติม

เดินชมภาพไป ก็ต้องทึ่งกับความใหญ่โต เรียกได้ว่า เสพศิลป์ทางสายตา ใช้สมองในการประมวลผล และหมุนคอไปมา เท้าก็เดิน มือก็กดชัตเตอร์ เป็นการใช้สรีระทุกส่วนอย่างเต็มที่

แถมยังมีภาพเขียนบนเพดานอีกด้วย เรียกได้ว่า คอหมุนเกิน 360 องศา

ยังไม่แน่ใจว่า จะเขียนเรื่องราวพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อีกกี่ตอน แต่อยากให้มาติดตามชมกันในตอนต่อๆ ไป จะนำมาฝากกันอย่างจุใจ และอยากชวนไปเที่ยวกัน