พวกเรายังคงเดินอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เรียกได้ว่า เป็นวันหนึ่งในชีวิตที่สัมผัสผลงานศิลปะด้วยสายตาจนแทบจะเกินขนาด แต่เป็นความตั้งใจอย่างแท้จริงที่จะมาตามหาหลายสิ่งหลายอย่างในนี้ ซึ่งพวกเราทั้งกลุ่มร่ำเรียนสายวิทย์-ศิลป์ มาด้วยกันตลอดช่วงมัธยมปลาย จึงเหมือนการมาทัศนศึกษาของจริงกัน
ยังจำได้ว่า สมุดวาดเขียนเล่มแรกในชีวิต ก็มีรูปวีนัส (Venus de Milo) นี้ อยู่บนหน้าปก ก็ได้รู้จักเธอชื่อ "วีนัส" จากวันนั้น ทั้งที่เรายังไม่เจอตัวกันเลย จนครั้งนี้เพิ่งทราบว่า เธอนั้นเป็นรูปปั้นหินอ่อนยุคกรีกโบราณ ว่ากันว่าสร้างขึ้น ประมาณ 100-130 ปี ก่อนคริสตกาล แต่ก็ยังสงสัยว่าแขนเธอหายไปไหนจนวันนี้ก็ยังไม่รู้คำตอบ
หากใครไปเยือนพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ จะต้องเห็นรูปปั้นซ้ายมือนี้อย่างแน่นอน เพราะอยู่กลางโถงทางขึ้นบันไดพอดี และจะมีผู้คนมามุงอยู่จำนวนมากตลอดเวลา มีชื่อว่า Winged Victory of Samothrace หรือ Nike of Samothrace ซึ่งเป็นรูปปั้นหินอ่อนของกรีกเช่นเดียวกัน สื่อถึงชัยชนะ ซึ่งพบในปี ค.ศ. 1863 ที่เกาะ Samothrace และถือเป็นผลงานระดับ Masterpiece ในยุค Hellenistic คาดกันว่าสร้างขึ้น ประมาณ 190-220 ปีก่อนคริสตกาล
แค่ผ่านไป 2 ชิ้น ผลงานระดับสุดยอด แต่ก็ยังมีผลงานอื่นๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่า เดินไปเต็มไปทั้งห้อง และมีรายละเอียดที่ต้องทึ่งว่า เขาแกะได้อ่อนช้อยขนาดนี้ได้อย่างไร ยังไม่รู้เลยว่า ศิลปินสมัยนี้จะมีใครที่สามารถสร้างงานได้ละเอียดเหมือนสมัยก่อนหรือไม่
เรียกได้ว่า ศิลปินยุคนั้น คงเกิดมาเพื่อสร้างผลงานเหล่านี้กระมัง เราคงเลียนแบบได้ยาก ... ทำได้แค่ทำท่าเลียนแบบ ถ่ายรูปผลงานอ่ะพอไหว เพราะคนสมัยนี้คงมีความอดทนไม่พอกระมัง
เอาแค่มายืนแอ๊กท่า เป็นนายแบบให้แกะสลักแบบนี้ ก็คงไม่ไหว บ่นเมื่อยหันไปพึ่งภาพถ่าย หรือเทคโนโลยี 3D แทนแล้วกัน
เป็นที่น่าดีใจที่ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ได้เก็บรวบรวมเอาไว้ มาให้ได้ชมอย่างจุใจ เรียกได้ว่า ใครที่ชื่นชอบงานศิลปะ จะสามารถศึกษาพินิจพิเคราะห์ได้ตามสบาย
เรียกได้ว่า ขอให้ทำตามกฏกติกา มารยาท ดังภาพนี้ ไม่ถ่ายรูปด้วยแฟลช และไม่ส่งเสียงดัง เป็นต้น ซึ่งเคยไปพิพิธภัณฑ์ในบ้านเรา ห้ามถ่ายรูป คงกลัวการลอกเลียนแบบ และที่สำคัญ กลัวเป็นใบสั่งให้มาลักขโมย จึงเป็นเหตุหนึ่งที่มือโพสต์สมัยนี้ ยิ่งเดินห่างจากการเข้าพิพิธภัณฑ์ไปอีกเรื่อยๆ
หินแกะสลักแบบนี้ คงไปยกมาจากสถาปัตยกรรมที่อื่นๆ เพราะคงถูกทำลายไปอย่างน่าเสียดาย
คงไม่ต้องถึงขั้นที่ต้องนำผลงานศิลปะไปวางไว้สูงๆ เพื่อห่างจากคนมือบอนที่ชอบทำลายขีดเขียน
แม้จะมองออกไปนอกกระจกปิรามิด ก็ยังมองเห็นรูปปั้นเรียงรายตามสถาปัตยกรรม
คงต้องปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องการรักษาศิลปะเก่าทรงคุณค่า อีกทั้งศิลปะที่จะสร้างใหม่นับจากวันนี้
บ่อยครั้งที่เห็นอาคารสถานที่ วัดวาอารามใหม่ๆ ไม่ได้มีการนำศิลปะมาใส่ไว้ ทำให้ขาดคุณค่าทางจิตใจ แต่เน้นเฉพาะประโยชน์ใช้สอยเพียงอย่างเดียว ขาดความละเอียดในจิตใจคนไปอย่างน่าเสียดายโอกาส น่าจะเป็นการสร้างงานและส่งเสริมศิลปะของไทยอีกทางหนึ่งได้
ทราบหรือไม่ว่า ภาพนี้กับภาพถัดไป มีอะไรที่แตกต่างกัน
เฉลย ก็แท่งเสาสีเงินๆ นั้น คือ ลิฟท์ ซึ่งยกขึ้นสำหรับเก้าอี้รถเข็น อย่างนี้นี่เอง
ถึงเวลาอาหารกลางวันกันแล้ว ได้ทานข้าวอย่างอิ่มอร่อย และอิ่มท้องกว่าทานขนมปังอย่างแน่นอน เพราะเราคนไทย และยังไงก็มองขนมปังเป็นขนม ไม่ใช่อาหารหลัก
หลังจากนั่งคุยและผึ่งพุงเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินชมกันต่อตลอดในช่วงบ่ายถึงเย็น และจะพาไปชมผลงานที่น่าฉงนอีกชิ้นระดับ Masterpiece เลย
เสียดายที่ไม่ได้ทำการบ้านมาก่อนว่า จะต้องไปชมผลงานชิ้นใดบ้าง และห้ามพลาด แต่ก็เป็นการดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องเครียดว่า ยังไม่ได้ดูอะไรอีก
ไม่เช่นนั้น มีหวังต้องทั้งเดิน ทั้งวิ่งเหมือนรูปปั้นนี้อย่างแน่นอน เพื่อตามเก็บให้ครบแบบแข่งแรลลี่ตามหาอาร์ซี
ไม่ได้ชมชิ้นไหนก็ไม่เป็นไร ถือว่าเหลือไว้มีโอกาสจะกลับมาท่องเที่ยวอีกไง
ผลงาน "สาว สาว สาว" ชิ้นนี้ มีชื่อว่า Les Trois Grâces สามสาวที่กำลังเต้นรำ (Three Graces)
แต่มาสะดุดเข้ากับรูปปั้นแกะสลักหินอ่อนทางซ้ายมือ ศิลปินทำไมจึงได้แกะสลักที่นอนได้น่านอนอะไรเช่นนี้ ขนาดทำให้สาวเจ้านอนหลับไหลไม่ยอมตื่นจากที่นอน
ด้วยรายละเอียดอ่อนช้อย จนรู้สึกเหมือนคนจริงๆ มานอนอยู่ตรงนี้
และสังเกตว่า ทำไมนักท่องเที่ยวให้ความสนใจกับผลงานชิ้นนี้ ยืนมองอยู่นาน บ้างก็บันทึกภาพไว้
เลยขอสลับข้างไปตรงข้ามบ้าง ก็ถึงบางอ้อ! ทันที
หากไม่สังเกตก็คงแค่มองผ่านไป แต่ไม่ใช่สายตาซุกซนอย่างเรา
ผลงานชิ้นนี้มีชื่อว่า "Hermaphrodite Endormi" หรือ "Hermaphroditos Asleep" เป็นผลงาน Masterpiece อีกชิ้นของ Borgh ในช่วงศตวรรษที่ 17-18 ที่น่าฉงนว่าทำไมสรีระเป็นหญิงสาว แต่ทว่ามีอวัยวะเพศของชายด้วย
ไม่ได้เป็นความผิดพลาดของศิลปินแต่อย่างใด แต่เป็นแสดงให้เห็นการยอมรับเรื่องการมีสองเพศในร่างกายเดียวกันนั่นเอง
จึงเป็นจุดเล็กจุดน้อย ที่ช่วยให้เราจดจำสถานที่ที่เราได้เคยไปเยือน หากจะถามว่า ดูหรือเห็นอะไรมาบ้าง หากผ่านไปนานเข้า และไม่มีการบันทึกไว้ ย่อมจะเลือนจากความทรงจำอย่างแน่นอน แต่ถ้าเรานำมาเป็นวัตถุดิบ เพื่อค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม และถ่ายทอดออกด้วยการเขียนเช่นนี้ รับรองว่าจะจดจำได้ดีและนานกว่าอย่างแน่นอน