มายืนอยู่หน้าโบสถ์โนเตรอดาม (Notre Dame Cathedral) เพียงไม่นาน ก็รีบเร่งเดินเข้าไปชมภายในโบสถ์ก่อน เพราะมีสิ่งที่น่าชมรออยู่ข้างใน ไม่เพียงแต่ภายนอกที่แทบจะสะกดสายตาในรายละเอียดที่ยอดเยี่ยม
หอคอยคู่นี้สูง 69 เมตร หากเดินขึ้นบันได 387 ขั้น ของหอด้านเหนือ ก็สามารถชมวิวทิวทัศน์ปารีส ส่วนหอด้านใต้จะเป็นที่ตั้งของ ระฆังเอมมานูเอล
โบสถ์ด้านหน้า ทิศตะวันตก จะมีประตูทางเข้าโบสถ์แกะสลักอยู่ 3 บาน เป็นภาพจากพระคัมภีร์ไบเบิลที่วาดในยุคกลาง และที่หินสลักหน้าบัน (ซ้าย) มีชื่อว่า Portal of the Virgin แกะขึ้นในศตวรรษที่ 13 เป็นรูปการสวรรคตของพระนางมารี และการขึ้นครองราชสมบัติบนสวรรค์ แต่รูปแกะสลักชื่อ The Virgin and Child ที่อยู่ระหว่างประตู จะเป็นงานศิลปะสมัยใหม่
โดยจำลองชีวิตของเดอะเวอร์จิน เดอะลาสต์จัดจ์เมนต์ และชีวิตของนักบุญแอนน์
ต้องทึ่งกับรายละเอียดที่เป็นผลงานศิลปะโดยแท้
เมื่อเดินเข้าสู่ภายใน ก็ต้องรู้สึกถึงความสงบ ความยิ่งใหญ่ สะกดให้รู้สึกถึงความมีพลังศรัทธาของผู้มาเยือน
แต่พวกเรามาในฐานะนักท่องเที่ยว ก็ต้องสำรวมและรับความสุขจากการชื่นชมงานสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ สวยงามโดยรอบ
ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรมต่างๆ รวมทั้งภาพเขียน และกระจกสี
ด้วยความทึ่งในวิทยาการในอดีต ที่สามารถสร้างโบสถ์หลังจากสูงได้อย่างไร โดยยังมีรายละเอียดในทุกมุม ทุกจุดแบบนี้
ซึ่งต้องคำนวณอย่างแม่นยำ รวมไปถึงรายละเอียดของลวดลายประดับต่างๆ
มองเห็นรูปปั้นบริเวณกึ่งกลางของโบสถ์แห่งนี้ ชื่อว่า Statue of the Virgin and Child หรือที่รู้จักกันดีในนามว่า Notre-Dame de Paris รูปปั้นสมัยศตวรรษที่ 14 ชิ้นนี้ นำมาจากโบสถ์แห่งแชงเอกนอง
หน้าต่างกุหลาบ 3 บาน (Rose Windows) ตั้งอยู่ทางด้านเหนือ ใต้ และตะวันตกของโบสถ์ แต่มีเพียงบานทิศเหนือบานเดียวเท่านั้น ที่ยังมีกระจกซึ่งทำขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 เป็นรูปพระแม่มารี ห้อมล้อมด้วยรูปปั้นจากดิโอลด์เทสทาเมนต์
มาสักการะด้วยเทียนไข
ชีวิตจะได้สดชื่น สว่างไสว เจิดจรัส
จากนั้น ก็เดินเวียนต่อไปให้ครบรอบ ก็ยังได้พบกับศิลปะตลอดทุกมุม
เดินไป บันทึกภาพไป เสียงดัง แช๊ะ!
เนื่องจากกล้องตัวนี้ ไม่สามารถปิดเสียงชัตเตอร์ เลยรู้สึกเขินเล็กน้อยเพราะกลัวเสียงไปรบกวนผู้อื่น
มาเจอเข้ากับโมเดลของโบสถ์โนเตรอดาม (Notre Dame Cathedral) ซึ่งรายละเอียดมาก เหมือนของจริงย่อส่วน
มีโมเดลแสดงจำลองการก่อสร้างโบสถ์แห่งนี้ ที่ต้องอาศัยแรงงานเป็นหลัก และเป็นแรงกาย แรงใจที่ไม่สูญเปล่า เพราะเขาเหล่านั้นได้สร้างสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญของโลกชิ้นหนึ่ง และยังคงอยู่ในสภาพดีเยี่ยมสืบต่อไป
จะมองเห็นยอดโบสถ์ได้ชัดเจนจากโมเดล ซึ่ง วีโอเล-เลอ-ดุก เป็นผู้เพิ่มยอดโบสถ์ด้วยความสูง 90 เมตร และบนหลังคา จะมีรูปของสถาปนิกที่ยืนชื่นชมผลงานของตนด้วย
มาเจอเข้ากับโคมระย้าขนาดยักษ์ The Crown of Light หรือ Great Chandelier ซึ่งทำจาก เงิน, ทองแดง, เหล็ก และ ไม้ ซึ่งมีเชิงเทียน (Wax Candles) หรือหม้อน้ำมันขนาดเล็ก (Oil Pots) อยู่โดยรอบ ซึ่งมีการพัฒนาปรับปรุงเพื่อเพิ่มความสว่างไสวมาโดยตลอด
การชมความงามในโบสถ์หลังนี้ ทำเอาต้องหมุนคอไปรอบทิศ อีกทั้งต้องหมุนขึ้นบนและลงล่างอีกด้วย
แม้แสงภายในจะน้อย ก็พยายามบันทึกภาพมาให้คมชัดที่สุด
เพื่อนำมาบันทึกเป็นข้อมูลไว้ในการศึกษาต่อไป
ได้ความรู้สึกสงบ
รับรู้ถึงความศรัทธา
ไม่แน่ใจว่าหายไปหนึ่งบาน หรือด้วยความตั้งใจ
เดินมาจนเกือบจะครบรอบแล้ว
เรียกได้ว่า ได้ชื่นชมสถาปัตยกรรมแบบ French Gothic Architecture อย่างเต็มอิ่ม
เป็นความสุขที่ได้เห็นของสวยๆ งามๆ และกลับมาศึกษาถึงประวัติต่างๆ เพิ่มเติม ยิ่งรู้สึกทึ่งในความสามารถของผู้สร้าง
ขอเดินออกจากโบสถ์ออกมารับแสงสว่างกันอีกครั้ง พร้อมทั้งเดินชมบริเวณโดยรอบภายนอกโบสถ์ ซึ่งจะขอนำมาบันทึกให้ติดตามกันต่อไป