Disable Preloader




ร้อนนัก ไปพักร้อน 2011 ตอนที่ 22 : เดินจากพระตำหนักน้อย บ่ายคล้อยทีพระตำหนักใหญ่

หลังจากที่เดินเที่ยวชมภายในตำหนักน้อย (Petit Trianon) แล้ว ก็เดินต่อมาทางซ้ายมือก็จะถึง พระตำหนักใหญ่ (Grand Trianon) ซึ่งพระตำหนักแห่งนี้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี ค.ศ. 1670 รัชสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14

ในช่วงแรกก่อสร้างโดยใช้กระเบื้อง (Porcelain) ทำให้แตกหักได้ง่าย จึงได้รับสั่งให้ซ่อมแซมใหม่โดยใช้หินอ่อนสีแดงชมพู (Red Marble) ที่นำมาจากเมือง Languedoc ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส

ท้องฟ้าวันนี้ช่างเป็นใจจริงๆ เหมาะแก่การถ่ายภาพยิ่งนัก เมื่อเดิมถึงประตูทางเข้า

มองเห็นลวดลายเหล็กดัดที่ดูสวยงาม และตัวพระตำหนักสีชมพูจากหินอ่อนได้ชัดเจน บางส่วนมีการตัดด้วยหินอ่อนสีเขียว

มองจากมุมนี้ ทำให้รู้สึกเหมือนพระตำหนัก ทำหน้าที่เป็นป้อมปราการไปด้วยหรือไม่? ไม่แน่ใจ แต่เดาจากมีชั้นใต้ดินและช่องทางเดิน

เหนื่อยนัก ... พักซักหน่อย!

ซึ่งพระตำหนักแห่งนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมของอิตาลี และผสานศิลปะแบบปารีส ซึ่งพระตำหนักแห่งนี้เป็นเหมือนที่ประทับแบบชนบทของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14

ซึ่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 และพระชายาก็ได้ประทับในพระตำหนักแห่งนี้ราวคริสต์ศตวรรษที่ 18 จนกระทั่งปี ค.ศ. 1805 พระเจ้านโปเลียน ได้พระราชทานพระตำหนักแห่งนี้แด่พระมารดา Madame Mère และในปี ค.ศ. 1810 พระองค์ได้ประทับ ณ ที่แห่งนี้กับพระราชินี Marie-Louise

มีภาพวาดสวยงามอยู่จำนวนมาก

ในห้องต่างๆ ที่ล้วนจัดไว้อย่างเป็นระเบียบสวยงาม

ไม่แน่ว่าในอนาคต อาจมีเทคโนโลยีที่ทำให้นัดท่องเที่ยวได้เข้าไปสัมผัสในอดีตในอีกมิติ ซึ่งขนาดเราเดินเที่ยวยังรู้สึกเหมือนอยู่ในบรรยากาศและเหตุการณ์ในอดีต

ห้องนี้น่าจะเป็นห้องบรรทม เฟอร์นิเจอร์สีสวยสดใสมาก

มาเล่าประวัติกันต่อ พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปส์ ได้รับสั่งให้ตกแต่งห้องต่างๆ ใหม่ในปี ค.ศ. 1836-1838

ต่อมาในปี ค.ศ. 1920 การลงนามสัญญาสันติภาพของฮังการี ก็ได้จัดให้มีการทำพิธีลงนามกันที่พระตำหนักแห่งนี้ หลังจากนั้น Trianon แห่งนี้ก็ถูกใช้เป็นที่พำนักของประธานาธิบดีฝรั่งเศส รวมไปถึง Charles de Gaulle ก็ได้ใช้เป็นสถานที่ทำงานอีกด้วย

และในปี ค.ศ. 1960 สถานที่แห่งนี้จึงถูกจัดเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งใหม่ในยุคต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 19 คาดว่าที่เราเห็นภาพในตอนต้น

การที่ได้ภาพถ่ายและนำมาศึกษาหาข้อมูล เพื่อนำมาเขียนบล๊อก ทำให้ได้ทราบประวัติความเป็นมาและสามารถจดจำได้ตลอดไป เพราะว่าได้ผ่านการเขียนแบบนี้

นี่คงเป็นประโยชน์ที่สำคัญข้อหนึ่งของการเขียนบล๊อกกระมัง

เพื่อนเริ่มทำท่าหมดแรง ลืมถามไปว่า เคยมากี่ครั้งแล้ว กลัวจะได้คำตอบว่า "นับไม่ถ้วน"

ว่าแล้วเราก็เดินกลับเข้าป่า สลับไปดูสีเขียวของธรรมชาติกันบ้าง

หลานๆ รอลุงด้วย

ในความแห้งแล้ง ก็ยังมีความงดงามซ่อนอยู่

มาเล่นสนุกกับการถ่ายภาพธรรมชาติกันดีกว่า

เคยเห็นภาพเขียวของป่าในหนังสือท่องเที่ยวมาบ้าง พอได้มาเห็นของจริง มันช่างสวยสดชื่นจริงๆ เพราะอากาศก็เย็นสบาย สูดอากาศได้ชุ่มปอด

พระอาทิตย์แรงนัก เราก็ลองถ่ายย้อนแสงดูบ้าง ผลคือ ภาพที่เห็นพระอาทิตย์มีแฉก

มองเห็นดอกตูม ที่กำลังจะเริ่มผลิบานอีกไม่นานนัก

ได้ยินเสียงนกเป็ดน้ำร้องมาแต่ไกล จึงรีบนำกล้องถ่ายไว้ได้เป็ดมา 3 ตัว

ฟ้าสวยแบบนี้ ไม่ว่าจะถ่ายภาพอะไรก็ดูสดใสไปหมด ... ว่ามั้ย!

รวมทั้ง ดอกไม้ใบหญ้า ที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ

ไม่นานนัก เราก็มาถึงบริเวณสระน้ำขนาดใหญ่ ที่เราพบเห็นในตอนเดินไปชมพระตำหนักทั้งสองหลังนั่นเอง

ในเอนทรีต่อไป คงมาปิดท้าย พระราชวังแวร์ซาย กลับไปยังใจกลางปารีส ซึ่งเจออะไรประทับใจระหว่างทาง เดี๋ยวมาเล่าสู่กันฟัง