หลังจากพวกเราออกจากพระราชวังแวร์ซาย ในช่วงเวลาเย็นที่เขากำลังจะปิดการให้เที่ยวชมของวันนี้ พวกเราก็ต้องรีบเดินทางออกมายังสถานีรถไฟ เพื่อให้ทันรถด่วน แต่ไม่ใช่ขบวนสุดท้าย กลับเข้ามายังตัวเมืองปารีสตามเวลาที่เราซื้อตั๋วไป-กลับไว้ตั้งแต่เช้า
ระหว่างเดินไปก็บันทึกภาพไปด้วย และตั้งใจไว้แล้วว่า มีอะไรอย่างนึงที่จะต้องไม่พลาด นั่นก็คือ บันทึกภาพเทพีเสรีภาพริมแม่น้ำแซนด์ ที่บังเอิญได้เห็นตอนเดินทางบนรถไฟมายังพระราชวังแวร์ซายเมื่อช่วงเช้านี้
เมื่อรถไฟเข้าเทียบชานชาลา พวกเราก็เดินไปยังที่นั่ง นัยหนึ่งว่า ได้ที่นั่งพักขาก็ว่าได้
ไม่ต้องบรรยายก็คงมองออกว่า หมดสภาพกันแล้วในวันนี้ แต่ไม่เป็นไรค่ำนี้ จะไปหาบะมี่เกี็ยวกุ้งอร่อยๆ หม่ำกัน
นั่งไปคุยกันไปเพลิดเพลิน
จนกลัวเผลอลืมเตรียมบันทึกภาพ
จากปารีสรอบนอก เข้าสู่บริเวณตัวเมืองปารีส สังเกตเห็นหอไอเฟลสีน้ำตาลตั้งเด่นอยู่ตรงนั้น บ้านเมืองรอบนอกไม่ได้สวยงาม หรือมีรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมให้ได้ชื่นชมนัก
ไม่นานนัก ก็ได้พบกับ อนุสาวรีย์เทพีเสรีภาพ ซึ่งถือเป็นการลอกเลียนแบบเทพีเสรีภาพของจริงก็ว่าได้ แต่ทว่าเทพีแห่งนี้มีความโดดเด่นมากที่สุด และสร้างมานานกว่า 100 ปีแล้ว โดยมีความสูง 11.5 เมตร เท่านั้นเอง แต่สำหรับเทพีเสรีภาพ (Statue of Liberty) ณ เกาะลิเบอร์ตี อ่าวนิวยอร์ก ที่นครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นของขวัญที่ชาวฝรั่งเศสมอบให้แก่ชาวอเมริกัน ในวันที่อเมริกาเฉลิมฉลองวันชาติครบ 100 ปี ณ วันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2419
เมื่อลงจากรถไฟ ก็ต่อรถไฟใต้ดินเพื่อตรงมายังภัตตาคารจีนชื่อ Mirama ที่พวกเรามาลิ้มรสเป็ด และบะหมี่เกี้ยวกุ้ง หลังจากที่เลี่ยนกับอาหารฝรั่งมาหลายมื้อแล้ว
ไม่ทราบจะบรรยายความอร่อยอย่างไรดี ขอฟ้องด้วยภาพแทนแล้วกัน
หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว เหมือนว่าเรี่ยวแรงในการเดินเที่ยว เดินย่อยอาหาร ก็เพิ่มเติมมาโดยอัตโนมัติ
ได้เวลาเดินไป ชมไป คุยไป ท่ามกลางอากาศที่เย็น
เป็นอีกช่วงเวลาที่ชื่นชอบในการถ่ายภาพ ที่ยังมีแสงสีฟ้าสุดท้าย ท่ามกลางแสงจากหลอดไฟตามทางเดิน
มีร้านอาหารจำนวนมาก แต่ไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้ เพราะเป็ดย่างและเกี๊ยวกุ้ง รวมทั้งบะหมี่เรียงรายเต็มกระเพาะพวกเราทั้ง 5 คน ไปแล้ว ทั้งที่ไก่หมุนนี้มันช่างยั่วยวนเหลือเกิน
นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ช่วยให้มหานครปารีสได้ชื่อว่า เป็นเมืองที่มีความสวยงามและโรแมนติค
เดินต่อไปถึงแม่น้ำแซนด์ และเก็บขาตั้งกล้องไว้ที่โรงแรม จึงใช้วิธีการวางกล้องบนกำแพง เพื่อเก็บบันทึกภาพค่ำคืน มีแสงไฟสาดส่องจากหอไอเฟล มองเห็นได้ชัดเจน
มีมุมสวยๆ เต็มไปหมด หากใครที่ชอบถ่ายภาพ ขอแนะนำให้ปารีสเป็นจุดหมายปลายทางหนึ่งที่ต้องมา
แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ก็ต้องให้ความระมัดระวังตัวไว้พอสมควร
พวกเราเดินเท้ากันต่อมาถึงพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ได้ชมบรรยากาศยามค่ำคืน มองเห็นปิรามิดแก้ว
ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง The Da Vinci Code และพระเอก Tom Hanks ขึ้นมาทันที จากนั้นพวกเราก็ลงรถไฟใต้ติด เพื่อกลับไปยังโรงแรม จบภารกิจในวันนี้อย่างประทับใจ
และเริ่มต้นภารกิจเช้าวันใหม่ที่ร้านขนมของคุณป้าใจดี หัวมุมถนนใกล้ๆ กับโรงแรมที่พวกเราพักกัน 4 คืน
อร่อยไปซะทุกอย่าง ไม่อิ่มจะไม่ยอมลุกออกจากร้าน
แต่ช้าไม่ได้ เพราะเช้าวันนี้พวกเราตั้งใจจะเข้าไปยัง พิพิธภัณฑ์ออร์แซ (Musée d'Orsay) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ เป็นพิพิธภัณฑ์การออกแบบ/สิ่งทอ และยังเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกด้วย
ซึ่งต้องเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ไม่ไกลนักจากโรงแรม
ลองเปลี่ยนมาถ่ายภาพขาวดำดูบ้าง ในบางครั้งที่เราไปท่องเที่ยวแล้ว แสงแดดจ้ามาก หากเราถ่ายภาพสี ก็จะได้ภาพที่สว่างจ้า หรือในมุมที่แสงน้อยก็จะมืด อยากขอแนะนำให้ลองเปลี่ยนมาถ่ายภาพแบบขาวดำดูบ้าง จะได้รายละเอียดและอารมณ์ของภาพอีกแนว
ก็อาจสลับไปมาระหว่างภาพสี และภาพขาวดำตามต้องการ
เมื่อผ่านบริเวณประตูตรวจตั๋ว ก็เข้าสู่ชานชาลา และรถไฟใต้ดิน
นั่งไปไม่นานแค่ 2-3 เพลิน ก็ถึงสถานี Musée d'Orsay
แม้ว่าเส้นทางรถไฟใต้ดินในปารีสจะมีความซับซ้อนมาก แต่ถือเป็นวิธีการที่สะดวกมากเช่นกัน
เมื่อเดินออกจากสถานี ก็ถึงบันไดทางเข้าพิพิธภัณฑ์ แต่ทว่าทำไมคนเยอะจัง
ทั้งที่พวกเราก็มากันตั้งแต่เช้าแล้ว
งานสะสมของพิพิธภัณฑ์ออร์แซแห่งนี้ เป็นศิลปะฝรั่งเศสที่สร้างระหว่างปี ค.ศ. 1848 ถึง ค.ศ. 1915 ที่รวมทั้ง จิตรกรรม ประติมากรรม เฟอร์นิเจอร์ และภาพถ่าย แต่ที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคือ งานชิ้นเอกจากสมัยศิลปะอิมเพรสชันนิสต์ และศิลปะอิมเพรสชันนิสต์สมัยหลัง ที่รวมทั้งงานของ โกลด มอแน, เอดัวร์ มาแน, แอดการ์ เดอกา, ปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์, ปอล เซซาน, ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา, ปอล โกแก็ง และฟินเซนต์ ฟาน ก็อกฮ์
ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้เข้าชมมากเป็นอันดับ 3 ของ ฝรั่งเศส และเป็นอันดับ 10 ของโลก แต่ทว่า หากพวกเรายืนรอคิวเข้าชมคงไม่น้อยกว่า 2-3 ชั่วโมงแน่ๆ พวกเราจึงตัดสินใจว่า จะไม่เข้าไปชมและจะไปเดินเที่ยวยังสถานที่อื่นๆ แทน
ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ก็ขอเก็บภาพกับ "แรด" แถวๆ นี้แทนแล้วกัน
ตัวอาคารของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เดิมเป็นสถานีรถไฟเก่า สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1900 สำหรับงานปารีสเอ็กซ์โปซิชัน และใช้งานถึงปี ค.ศ. 1939 ก็ถูกปิดลง พระเอกของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ คือ วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Van Gogh) ซึ่งมีภาพเขียนที่วาดด้วยอารมณ์รุนแรง คือ ภาพ Bedroom of Aries ปี ค.ศ. 1889
พวกเราก็ขอเดินข้ามถนนไปเดิน ขนานไปตามแม่น้ำแซนด์ เก็บบันทึกภาพไป และยังมีสถานที่สวยงาม ยิ่งใหญ่อื่นๆ อีก แล้วมาติดตามกันต่อ
หากได้มาติดตามการเดินทางแต่ละเอนทรี รับรองว่า คุณจะคุยกับใครเกี่ยวกับ ปารีส ... รู้เรื่องแน่นอน!