หลังจากที่ตัดสินใจไม่รอคิวเพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์ออร์แซ ก็ไม่ได้ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนวุ่นวายแต่อย่างไร เพราะจากบริเวณนี้หากเราเดินเลียบไปตามแม่น้ำแซน ยังได้ชมความสวยงามอื่นๆ ไปตลอดเส้นทาง
แดงที่แรงมาสัมผัสกับอากาศเย็น กลับกลายเป็นแสงอุ่นๆ ให้เดินเที่ยวได้อย่างสบาย
สะพานสองชั้นซึ่งออกแบบได้ดี ในการรองรับคนเดินทั้งระดับถนนข้างล่าง และถนนข้างบนได้ แถมยังมีความสวยงามอีกด้วย
เดินไป คุยไป ถ่ายรูปไป ... หยุดบ้าง เดินบ้าง ตามประสานักท่องเที่ยวแบบไม่มีอะไรเร่งรีบ
เรียกได้ว่า การเดินเที่ยวในมหานครปารีส จะได้เห็นอะไรสวยงามแทบจะทุกเมตรที่ก้าวไป
รวมนับไปถึงตัวอาคารบ้านเรือนที่มีความสวยแบบมีรายละเอียดที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นสีสัน ลวดลายระเบียง หรือยอดตึก ซึ่งดูแล้วเข้ากันอย่างลงตัว มองดูแล้วเหมือนแต่ละมุมในเมือง ยังคงรักษาสถาปัตยกรรมเก่าไว้ จึงทำให้เป็นมหานครที่มีความสวยงามมาก
ต้องหยุดเก็บภาพกันไปตามเส้นทาง
มองเห็นตัวอาคารของสมัชชาแห่งชาติ (Assemblée Nationale) ซึ่งเป็นสภาล่างของรัฐสภา และยังมีสภาสูงซึ่งมีวุฒิสภา (Sénat)
ไม่ขอกล่าวอะไรเกี่ยวกับการเมืองไปมากกว่า ชมความงามของสถาปัตยกรรมดีกว่า
มองไปทางขวามือ เห็นเรือขนาดใหญ่กำลังนำนักท่องเที่ยวชมความงามของสถาปัตยกรรม และสิ่งต่างๆ ตลอดสองฝั่งของแม่น้ำแซน
ก็จะได้เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย แต่อาจไม่สามารถเจาะลึกหรือหยุดในจุดที่สนใจได้เหมือนการเดินเท้า
โดยเฉพาะวันอากาศดีๆ เดินไปเพลินได้ ไม่เหนื่อยเลย ... มาถึง Pont Alexandre III ที่สร้างไว้ใช้ในงานยูนิเวอร์แซลเอ็กซิบิชั่น เมื่อปี ค.ศ. 1900 ซึ่งได้มองเห็นสะพานนี้เมื่อคืนวันก่อน แต่ในยามค่ำคืน
สะพานแห่งนี้ถือเป็นตัวอย่างงานสถาปัตยกรรมเหล็กที่มีความงดงาม รวมทั้งรูปแบบอาร์ตนูโวที่มีความละเอียด
ซึ่งเป็นที่ชืนชอบในยุคนั้น และสะพานนี้ตั้งชื่อตาม อเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย ผู้วางศิลาฤกษ์สะพานแห่งนี้
การตกแต่งสะพานแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของทั้งฝรั่งเศสและรัสเซีย ซึ่งสะพานแห่งนี้ในช่วงที่ข้ามจากช็องเซลีเซ มายังแองวาลิดนั้น มีความสง่างามมากๆ หากมีโอกาสอยากให้มาเดินชมรายละเอียดกัน
แต่จะหมายที่เรากำลังจะไปนั้น อยู่ไม่ไกลจากสะพานแห่งนี้ และสามารถมองเห็นหอไอเฟลได้อีกด้วย
ไม่เพียงแต่การนั่งเรือเที่ยว เดินเที่ยว ยังมีการนั่งรถเที่ยวได้อีกวิธีหนึ่ง
นักท่องเที่ยวคนนี้ กำลังกางแผนที่เพื่อถามเส้นทาง แต่สำหรับก๊วนเรานั้น ไม่ต้องพกแผนที่ แค่พกเพื่อนที่เชี่ยวชาญการคลาน เอ๊ย! การเดินเที่ยวในปารีสเป็นผู้นำทาง
มาถึงแล้วจุดหมายของเช้าวันนี้ ที่เพื่อนยืนเอียงนั้น คงเพราะเดินจนแทบขาลาก
แต่มาถึงจุดหมายแล้ว ก็เดินเข้าสู่บริเวณภายในสถานที่แห่งนี้ที่มีชื่อว่า โอแตลเดแซงวาลิด (Hôtel des Invalides)
อาคารสูงที่เด่นเป็นสง่านี้ สร้างให้ทหารพิการ โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 บัญชาให้สร้างอาคารนี้ในปี ค.ศ. 1671-1678 ในยุคแรกมีทหารอาศัยอยู่ถึง 6,000 นาย ซึ่งทหารเหล่านี้อาศัยบนผืนดินเดียวกับ นโปเลียน โบนาปาร์ต นายทหารผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส
มาเดินเข้าไปเที่ยวกัยข้างใน มาดูว่ายิ่งใหญ่อลังการขนาดไหน
จากตัวสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิกนี้ ครอบคลุมพื้นที่ด้วยอาคารที่มีความสูง 4 ชั้น ด้วยความสูง 196 เมตร โดยมีลักษณะเด่นต่างๆ ได้แก่ มุขหน้าต่าง หลังคาที่มีโล่ห์รูปทรงต่างๆ ล้อมอยู่ เป็นต้น
มองเห็นโดม (Golden Dome) ที่งดงามแห่งนี้ มีความสูง 107 เมตร และทอแสงระยิบระยับงดงามพอๆ กับเมื่อครั้งที่ กษัตริย์หลุยส์ที่ 14 หรือ The Sun King รับสั่งให้ติดทองประดับในปี ค.ศ. 1715
ทำให้พวกเราอดไม่ได้ที่จะขอเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกคู่กันซักหน่อย ... แช๊ะ!
มองเห็นลานกว้าง ซึ่งเมื่อเข้าไปยืนอยู่ตรงกลางนั้น เหมือนสัมผัสได้ถึงพลังและความขลังของสถานที่แห่งนี้
ทริปนี้เพื่อนแทบจะโยนกล้องทิ้งเลย ติดใจกับการถ่ายภาพด้วยไอโฟนซะงั้น
มองไปโดยรอบ จะมีปืนใหญ่รายล้อมอยู่ ทั้งที่อยู่กลางแจ้ง
และภายใต้ตัวอาคาร ซึ่งในบริเวณนี้ ยังเป็นพิพิธภัณฑ์ (Musée de l'Armée) ซึ่งมีคลังสะสมอาวุธและกองทัพที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก น่าตื่นตาตื่นใจ
ทำให้นึกถึงหน้ากระทรวงกลาโหมบ้านเรา
ไปเจอเข้ากับ รถถังจิ๋ว ขนาดมินิ ดูน่ารักมากกว่าน่าเกรงขาม
ซึ่งใช้งานได้จริงๆ ในอดีต
ยังมีรูปถ่ายชุดเกราะโบราณที่ดูสวยมาก และมีส่วนของพิพิธภัณฑ์ (Musée de l'Ordre de la Libération) ซึ่งมีการจัดแสดง The Order of Liberation ถือเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทางทหารชั้นสูงสุดของฝรั่งเศส เกิดขึ้นครั้งแรกโดย นายพลเดอ โกล ในปี ค.ศ. 1940
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จึงมีรายละเอียดประวัติศาสตร์ของเครื่องราชอิสริยาภรณ์ รวมทั้งแนวร่วมการปลดปล่อยฝรั่งเศสให้เป็นเสรีในระหว่างสงคราม
ขอกดไลค์ ถูกใจสถานที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "รถถังจิ๋ว"
ภายในยังมีโบสถ์ (Church of Saint-Louis) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมหลังใหญ่แห่งนี้
พวกเราเดินกันต่อไปถึงบริเวณโดมสีทอง
ซึ่งก็มีรายละเอียดศิลปะแทบจะทุกซอกทุกมุม ไม่มีว่าง
บรรยากาศน่านอนเล่นมั้ย แต่ไม่ได้หรอก ไปหาเครื่องดื่มและขนมทานกันก่อน
ขนมน่าหม่ำมั้ย แถมมีอมยิ้มหอไอเฟลก็คงไม่เข้ากับวัยของแต่ละคน
ซึ่งในบริเวณ Canteen ก็มีภาพ Napoleon's Tomb ซึ่งร่างของนโปเลียนถูกนำมาจาก แซงเฮเลนา ในปี ค.ศ. 1840 โดยได้รับการบรรจุในโลง 6 ชั้น (ภาพบนด้านซ้าย) และฝังอยู่เกือบใกล้ฝั่งแม่น้ำแซนอย่างที่เขาต้องการ
หลังจากที่ดื่มกาแฟ น้ำดื่ม และทานขนมเป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็เดินกลับออกมาทางเดิม เพื่อไปเที่ยวกันต่อ
สถานที่แห่งนี้ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ 1 ใน 10 ของกรุงปารีส
สงสัยเพื่อนอดใจไม่ไหว ไม่ได้กิน "อมยิ้มหอไอเฟล" เมื่อสักครู่ เลยขอดมหอไอเฟลแทนแล้วกัน
มองเห็นมีนักท่องเที่ยว ที่มากันด้วยรถจักรยาน แบบนี้ซิน่าสนุก
เดินกลับออกไปทางเดิม เพื่อไปท่องเที่ยวกันต่อที่แถว ช็องเซลีเซ (Champs-Élysées)
ต้องขอไปเยี่ยมบ้าน ป้าหลุยส์ (Louis Vuitton) ซะหน่อย ... ไว้มาตามเที่ยวกันต่อนะ