หลังจากได้ดื่มกาแฟ Latte Macchiato ร้อนๆ ที่ Alte Oper เราก็เดินต่อไปเพื่อหาอะไรหนักๆ หม่ำกันซักหน่อย ระหว่างเดินผ่านร้านสินค้าแบรนด์เนมตลอดสองฝั่งอีกครั้ง เลยขอเก็บภาพบรรยากาศมาฝาก เนื่องจากไม่ได้รับค่าโฆษณาเลยไม่ขอพรีเซนต์มาก
เดินผ่าน Goetheplatz ซึ่งเชื่อว่าอาจเคยได้ยินคำว่า "สถาบันเกอเธ่" ก็จะหมายถึง "Johann Wolfgang von Goethe" (ค.ศ.1749-1832) ซึ่งเป็นนักเขียนชาวเยอรมันที่มีชื่อเสียงมาก และได้ชื่อว่าเป็นผู้ริเริ่มแนวคิดของศึกษาวรรณกรรมของชนชาติต่างๆ (World Literature) ซึ่งท่านเองได้ให้ความสนใจและศึกษางานวรรณกรรมของชนชาติอื่นๆ ด้วย และคำว่า "Platz" ก็มีความหมายเหมือนคำว่า "Plaza" นั่นเอง
แล้วก็มาถึงร้าน Vapiano ซึ่งร้านนี้เคยมานั่งทานแล้วเมื่อทริปที่แล้ว แต่ครั้งนั้นเป็นช่วงกลางคืนและอากาศหนาวมาก มาวันนี้มาตอนเปิดร้านพอดี ซึ่งเดินผ่านมาหลายๆ ร้าน ต่างก็ปิดหมดเพราะวันนี้ตรงกับวันแรงงานแห่งชาติพอดี พอเจอร้านนี้เปิดก็เลี้ยวเข้าร้านในทันที ... รับบัตรเดบิตการ์ด เพื่อไปเลือกสั่งซื้อเครื่องดื่มและอาหาร แล้วค่อยจ่ายเงินตอนออกจากร้าน
ชอบที่เป็นครัวแบบเปิด มองเห็นการปรุงอาหารน่าสนุก จำได้ว่าครั้งที่แล้วมาสั่งพาสต้า กุ๊กหันไปคุยกับเพื่อนเพลิน พอหันกลับมาเหมือนเขาลืมกระทะไปแป๊บเดียว คงกลับรสชาดอาหารไม่ดีพอ กวาดอาหารในกระทะลงถังขยะ พร้อมกล่าวขอโทษเรา แล้วเริ่มใส่เครื่องและผัดใหม่ แบบนี้ซิเรียกว่าให้ความสำคัญกับรสชาดอย่างแท้จริง ไม่ปล่อยให้ลูกค้าทานรสชาดที่อาจผิดเพี้ยนไป
เรียกได้ว่า ลิ้มรสอาหารยุโรปในมื้อกลางวันนี้ ตั้งแต่สลัดผักโรยหน้าด้วยชีส, พาสต้าหน้ากุ้ง, เส้นอีกแบบเรียกไม่ถูกคล้ายก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ผัดในซอสมะเขือเทศพร้อมบาโลนี รวมทั้งพิซซ่าหน้าพาม่าแฮมแสนอร่อย และที่เห็นกระถางต้นไม้ที่หัวโต๊ะนั้น สามารถเด็ดรับประทานแกล้มได้ทันที
อิ่มแล้ว ขอเดินย่อยเพราะหนักท้องมากเลยมื้อนี้ ไม่ว่าจะเดินไปมุมไหนๆ ของเมือง ก็จะเจออนุสาวรีย์อยู่หลายๆ จุด ... มองไปบนตึกเห็นไฟบอกอุณหภูมิ 19 องศาเซลเซียส แม้แดดจะแรงขนาดนี้
ได้เห็นดอกเดซี่ (Daisies) ตามทางเดิน เหมือนดอกเก๊กฮวย นำไปต้มน้ำดื่มได้มั้ยเนี่ย
พบกับไส้กรอกเยอรมันที่แท้จริง ต้องย่างไฟแบบนี้ สังเกตกระทะจะเหวี่ยงหมุนไปบนเตาถ่าน
วิถีชีวิตคนเมืองหนาว เดินไปซื้ออาหารเพื่อมานั่งรับประทานกลางแดด ยิ่งแดดดีๆ อย่างนี้ โต๊ะจะเต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมานั่งกิน นั่งดื่มกัน
เดินผ่านมายังย่านช๊อปปิ้ง ผู้คนมากมายออกมาเดินในวันหยุด มองเห็นห้างสรรพสินค้าที่มีกระจกบุ๋มเข้าไปข้างในตัวตึก ซึ่งเมื่อ 2 ปีที่แล้วผ่านมา ยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง มาทริปนี้เลยต้องขอเข้าไปชมภายในซักหน่อย
ดูแล้วเหมือนกำลังเดินอยู่ในเมืองอวกาศในหนังแนววิทยาศาสตร์จัง
ไม่เพียงแต่พาไปห้างสรรพสินค้า แต่ขอพาไปเที่ยวตลาดนัดดูบ้าง ที่มีการนำสินค้าทั้งของใหม่, ของเก่า, ของเหลือใช้ มาวางขายกัน
มีรูปภาพเก่าๆ และภาพที่เห็นนั้น คือ สถานีรถไฟแห่งเมืองแฟรงค์เฟิร์ต "Frankfurt (Main) Hauptbahnhof" ซึ่งบ้านเราก็นำมาเป็นต้นแบบในการก่อสร้างสถานีหัวลำโพง ไว้ตอนต่อๆ ไปจะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับรถไฟในเยอรมัน
พวกเรานั่งรถรางไฟฟ้าไปยังจุดอื่นของเมือง สำหรับบัตรโดยสารนั้น ก๊วนเรา 5 คน เลยซื้อตั๋วแบบกลุ่ม 5 คนได้เลย สามารถใช้ได้ทั้งวัน ไม่ว่าจะขึ้นรถสายไหน ยกให้หัวหน้าก๊วนเป็นผู้ถือบัตรไว้เลย เมื่อไรเจ้าหน้าที่ขอตรวจต้องมีให้ตรวจ ถ้าไม่มีคงโดนปรับหนัก
หากใครชื่นชอบยนตกรรมของยุโรป เรียกได้ว่า เมืองแฟรงค์เฟิร์ต มีทุกรุ่นทุกยี่ห้อเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถหรูๆ รถสปอร์ตเพียบ!
ติดใจเจ้าสมาร์ทจิ๋วแต่แจ๋ว ยิ่งเจอลิฟท์แก้วยกรถ เต็มไปด้วยรถสมาร์ท อยากให้มาวิ่งซักฝูงในกรุงเทพฯ จัง
ขึ้นรถรางไฟฟ้าอีกครั้ง เพื่อนั่งกลับมายังบริเวณ Roemer เพื่อเดินไปแถวริมแม่น้ำ Main ... พอลุกขึ้นไปตรงที่นั่งคนขับ โอ้! คนขับหายตัวไปไหน ... ล้อเล่น! ก็ส่วนนี้อยู่ท้ายขบวน เพราะคนขับก็ไปขับที่หัวขบวนไง
ลงรถรางไฟฟ้ากันแล้ว เดินต่อไปยัง Roemer ซึ่งในตอนต่อไป จะพาไปดูบรรยากาศริมแม่น้ำ Main มาติดตามตอนต่อไปนะครับ