เมื่อมาถึงที่พักในช่วงบ่ายๆ ซึ่งเราจะยังคงค้างอยู่ที่นี่ถึง 2 คืน จึงยังมีเวลามากพอสมควรในการสำรวจเมืองเดรสเดิน (Dresden) เมืองที่น่าสนใจและสวยงามแห่งนี้
เหตุผลหนึ่งที่อยากมาเที่ยวที่เมืองนี้ เพราะได้ข่าวเรื่องการถูกถอดถอนบริเวณลุ่มน้ำเอลเบอ (Elbe) ที่เมืองนี้ตั้งอยู่ ออกจากมรดกโลกจากองค์การ UNESCO ในปี ค.ศ. 2009 ทั้งที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งเมื่อปี ค.ศ. 2004เนื่องจากการสร้างสะพานแบบทันสมัยไม่เข้ากับสะพานอื่นๆ ที่มีอยู่เดิม ซึ่งอาจดูเป็นเหตุผลที่แปลกที่อยากมาเที่ยวเมืองนี้ แต่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ศึกษารายละเอียดของเมืองนี้ และพบว่าเป็นเมืองเก่าที่น่าท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย
ดูจากสภาพฝนฟ้าในวันนี้ ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก แต่พวกเราก็ไม่รีรอ ต้องออกไปเดินสำรวจท่ามกลางสายฝนพรำ คงไม่มีปัญหาในการเที่ยวนักแม้อากาศจะเย็น ซึ่งเอนทรีนี้ ถือเป็นการพรีวิวเมืองแห่งนี้ไปพลางๆ ก่อน หวังว่าวันพรุ่งนี้ ฟ้าจะสดใส คงจะได้สำรวจกันอย่างจุใจ
จากมุมถนนบริเวณที่พักมองเห็นสถาปัตยกรรมแบบมุสลิม นี่เรามาผิดเมืองรึเปล่า? ซึ่งก็คือ Yenidze ซึ่งเป็นชื่อของชาวยิวผู้ก่อตั้งโรงงานยาสูบ และก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1907-1909 ปัจจุบันยังคงเป็นที่ตั้งของสำนักงานอยู่ ซึ่งสถาปัตยกรรมภายนอก นำแบบมาจากมัสยิดของชาวมุสลิม โดยแปลกแตกต่างจากสถาปัตยกรรมอื่นๆ ในเมืองนี้
เดินทางที่พักมาเพียง 500 เมตร เราก็ถึง Zwingergarten สวนสวยๆ มองแล้วเย็นสบายตา ข้างพระราชวัง Zwinger นั่นเอง
เดินเลี้ยวถัดจากสวนสวย เราก็มาถึงย่านใจกลางเมืองเก่ากันแล้ว
เดรสเดิน (Dresden) ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศเยอรมนี และติดกับประเทศสาธารณรัฐเชค ชื่อนี้มาจากภาษาซอร์เบียโบราณว่า Drježdźany แปลว่าชนเผ่าแห่งป่าริมแม่น้ำ ทั้งนี้เมืองเดรสเดินตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำเอลเบอ (Elbe)เป็นเมืองหลวงของรัฐซัคเซิน (State of Saxony)
และเมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็น กล่องอัญมณี เนื่องจากมีสถาปัตยกรรมแบบ Baroque และ Rococo ตั้งอยู่ในใจกลางเมือง
แต่ทว่าสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ ได้ถูกทำลายลงด้วยระเบิดกว่า 2,400 ตัน ของ Royal Air Force (RAF) และ กองทัพอากาศสหรัฐ (USAAF) จนพังราบไปกว่า 90% ในระหว่างวันที่ 13-15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 คาดว่ามีผู้เสียชีวิตถึง 500,000 คน
ดังนั้น สิ่งก่อสร้างใจกลางเมืองที่เห็นเหล่านี้ ได้ถูกบูรณะขึ้นใหม่โดย German Democratic Republic (former East Germany) ผู้สถาปนาเยอรมันตะวันออก ซึ่งสถาปัตยกรรมในฝั่งเยอรมันตะวันตก ไม่ค่อยเสียหายนักในครั้งนั้น จากภาพนี้ คือ Katholische Hofkirche ซึ่งเป็น โบสถ์คาทอลิกแห่งรัฐซัคเซิน และถือเป็น Landmark ของเมืองเดรสเดินก็ว่าได้
สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1738 - 1751 ด้วยการสนับสนุนจาก Frederick Augustus II, Elector of Saxony และยังเป็นกษัตริย์แห่งโปแลนด์ (King of Poland) เช่นเดียวกันที่โบสถ์ถูกทำลายด้วยระเบิด และบูรณะขึ้นใหม่เสร็จเมื่อ ปี ค.ศ. 1980 ไว้เอนทรีต่อๆ ไป จะพาเข้าไปชมความงดงามภายในกัน
Semperoper เป็นโรงโอเปร่าเก่าแก่ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1841
ซึ่งเมื่อครั้งแรกที่ก่อสร้าง ได้ชื่อว่าเป็นโรงโอเปร่าที่สวยที่สุดในยุโรป หลังจากนั้นได้ถูกเพลิงไหม้และต้องซ่อมแซมใหม่ในปี ค.ศ. 1869
Semperoper ยังถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Dresden Baroque และเมื่อปี ค.ศ. 1945 ในเดือนสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็โดนทิ้งระเบิดจนเหลือเพียงโครงภายนอกเกือบ 40 ปี จนกระทั่งปี ค.ศ. 1985 จึงได้บูรณะใหม่เรียบร้อย โดยพยายามให้ใกล้เคียงกับของเดิมก่อนถูกทำลายให้มากที่สุด
แต่ทุกวันนี้ ก็ยังมีการจัดการแสดงโอเปร่า และวง orchestra ที่บรรเลง มักจะเป็นวง Sächsische Staatskapelle Dresden
Dresden Castle หนึ่งในสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของเดรสเดิน ซึ่งเป็นที่พำนักของ Electors (ค.ศ. 1547-1806) และ กษัตริย์แห่งรัฐซัคเซิน (ค.ศ. 1806-1918)
หลังจากเดินเล่นอยู่ซักพัก พวกเราก็ขอเข้าไปหลบฝนในอาคารหลังนั้นดีกว่า
ซึ่งก็คือ Zwinger พระราชวังแห่งเมืองเดรสเดิน สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Rococo เป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการระหว่างกำแพงชั้นนอก
มองเห็นดอกแดฟโฟดิว (Daffodil) เหลืองชูช่ออยู่ใจกลางสวยงามมาก
อาจเป็นเพราะฝนตกและไม่ใช่เมืองหลักสำหรับนักท่องเที่ยว จึงสังเกตเห็นผู้คนน้อยกว่าหลายๆ แห่งที่ไปท่องเที่ยว ทำให้บันทึกภาพได้เต็มที่ เลือกมุมต่างๆ ได้อย่างสะดวก
ภายในบริเวณนี้ยังมีร้านขายหนังสือ และของที่ระลึก
แต่พอเดินออกมา จะพบกับบริเวณของ Zwinger พระราชวังแห่งเมืองเดรสเดิน
ปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ ซึ่งไว้เอนทรีต่อๆ ไปจะพาไปเดินเที่ยวแบบเจาะลึก
Zwinger พระราชวังแห่งเมืองเดรสเดิน สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Rococo เป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการระหว่างกำแพงชั้นนอก
พระราชวังแห่งนี้ออกแบบโดย Matthäus Daniel Pöppelmann และก่อสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1710-1728
ไว้จะพาชมชั้นบนในเอนทรีต่อๆ ไปนะ
พวกเราก็เดินเที่ยวกันต่อ เหมือนวันนี้แค่ออเดิฟ รอจานหลักในวันพรุ่งนี้ จะเที่ยวอย่างเจาะลึกกัน
ออกจากพระราชวังแล้ว ฝั่งตรงข้าม คือ Residenzschloss (Royal Palace) ซึ่งแต่เดิมเป็นพระราชวังหลัง เป็นจุดเริ่มต้นประวัติศาสตร์ ของเมืองนี้ แต่ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางรวบรวมทั้ง เหริยญกษาปณ์, ภาพวาด และ ภาพถ่าย
ชื่นชอบเมืองนี้ที่ใช้รถราง ดูคล่องตัวและไม่ทำลายความสวยงามของเมือง
เจอเข้ากับต้นแมกโนเลีย (Magnolia) กำลังออกดอกเต็มต้นด้านหลังของ Residenzschloss (Royal Palace)
เป็นพืชดอกในวงศ์เดียวกับจำปี จึงมีกลีบดอกที่ดูแข็ง และเชื่อว่าเป็นสกุลไม้โบราณ ซึ่งเคยพบซากดึกดำบรรพ์ของไม้ชนิดนี้มีอายุถึง 20 ล้านปี ลักษณะอีกอย่างหนึ่งแสดงว่าเป็นพันธุ์ไม้โบราณคือ การขาดลักษณะแตกต่างของกลีบนอก (Sepal) หรือ กลีบใน (Petal)
Residenzschloss (Royal Palace) ในบริเวณชั้นล่างจะมี ห้องนิรภัยสีเขียว (New Green Vault)ที่เปิดให้เข้าชมเมื่อปี ค.ศ. 2006 โดยรวบรวมของมีค่าต่างๆ
ซึ่งในปี ค.ศ. 1723-1730 เป็นที่เก็บวัตถุล้ำค่าต่างๆ แสดงถึงความรุ่งเรือง มั่งคั่งของราชวงศ์ ในบริเวณนี้ยังได้ชื่อว่า Palace of the Arts and Sciences อีกด้วย
บริเวณแถวนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมหรูหลายแห่งอีกด้วย
พวกเราก็มุ่งหน้าต่อไป เป้าหมายคือ ร้านกาแฟน่านั่งซักแห่ง กับเค๊กอร่อยๆ และที่สำคัญคือ สุขา ...อยู่หนใด
Ständehaus หรือ รัฐสภาแห่งรัฐซัคเซิน ในระหว่างปี ค.ศ. 1907-1934 หลังจากบูรณะขึ้นใหม่และกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ทั้ง วิทยาศาสตร์, ธรณีวิทยาและภูมิศาสตร์ และ แหล่งรวมภาพถ่ายในอดีตของเมืองนี้
มุมขวาจะมองเห็นภาพสีเหลืองและเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองเดรสเดิน นั่นคือ Fürstenzug (Procession of Princes) ซึ่งเป็นกระเบื้องเคลือบแสดงภาพขบวนของผู้ปกครองรัฐซัคเซิน เมื่อครั้งอดีต เอนทรีต่อไปจะนำชมแบบชัดเจน
ไว้มาเดินเที่ยวไปด้วยกันแบบ เดินไป เปียกไป ในเอนทรีต่อไปเร็วๆ นี้นะ