เดินกันต่อเลียบเคียงกับวัง จะได้พบกับ Fürstenzug ซึ่งเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ของขบวนของผู้ปกครองแคว้น Saxony ในอดีต ซึ่งปัจจุบันข้างๆ นี้จะมีร้านขายสินค้าที่ระลึกเรียงราย จึงถือโอกาสอุดหนุนมาหลายชิ้น รวมทั้งโปสการ์ดใบนี้อีกด้วย
ย้อนไปเมื่อปี ค.ศ. 1589 จิตรกรรมชิ้นนี้วาดขึ้นแบบศิลปะ Fresco หรือ การลงสีในปูนเปียก
ผ่านร้อนผ่านหนาวไปนับร้อยปี จิตรกรรมก็เสื่อมโทรมลงมาก จนกระทั่งปี ค.ศ. 1904 - 1907 จึงได้บูรณะขึ้นใหม่
และใช้กระเบื้องพอร์ซเลน (Meissen Porcelain) ถึง 23,000 ชิ้นในการเนรมิตเป็นภาพจิตรกรรมที่งดงาม
แต่ทว่า ถูกทำลายเพียงเล็กน้อยจากการถูกทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945
อาจกล่าวได้ว่าจิตรกรรมภาพนี้ เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองเดรสเดิน (Dresden) ก็ว่าได้
พวกเราก็เดินกันต่อมาถึง สถาปัตยกรรมที่สูงมากๆ เห็นโดดเด่น และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมรูปโดมที่ใหญ่ที่สุดของยุโรป นั่นก็คือ Dresden Frauenkirche (Church of Our Lady)
ซึ่งโบสถ์หลังนี้ ถูกทำลายด้วยระเบิดในสงครามเสียหายอย่างมาก โดยอุณหภูมิสูงถึง 1,000 องศาเซลเซียส จนโบสถ์ถล่มลงในเวลาประมาณ 10 โมงเช้าของวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1945 แต่ก็ได้รับการบูรณะเสร็จภายนอกในปี ค.ศ. 2004 และภายในโบสถ์แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 2005 ต้องบอกว่าน่าทึ่งมากที่สามารถบูรณะได้กลับมาเหมือนเดิม นั่นเพราะมีแบบแปลนการก่อสร้างที่มีรายละเอียดอย่างดี
บริเวณรอบๆ โบสถ์ก็มีร้านอาหาร และโรงแรมที่สวยงาม ดูหรูหรา
ทำเอารู้สึกว่ากำลังเดินอยู่ในอดีตที่ยังมีบรรยากาศ และกลิ่นอายสถาปัตยกรรมที่คลาสสิคโดยรอบ
มองเห็นร้านกาแฟริมโบสถ์ชื่อ Emil Reimann ดูแล้วน่านั่ง และน่าแวะใช้บริการสุขา ก็เลยเข้าไปนั่งชิลๆ พักขากันหน่อย
จึงเติมพลังด้วยขนมและกาแฟหอมกรุ่น ค่อยมีรอยยิ้มกันหน่อย ซึ่งร้านขนมนี้เป็นร้านขนมปังเก่าแก่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1910
หลังจากเติมพลังแล้ว ก็ต้องเดินใช้พลังงานกันต่อไป เพราะเรากำลังตามหาสะพานเจ้าปัญหาที่ทำให้ลุ่มน้ำเอลเบอ (Elbe) ถูกถอดถอนจากมรดกโลก
มองเห็นประติมากรรมภายในอาคารนี้ เดาว่าน่าจะเป็นสถาบันที่สอนงานศิลปะ
ต้องชื่นชมที่รักษาคุณค่าของผลงานศิลปะ ซึ่งมีความสำคัญแม้ว่าจะไม่ได้ผลิตงานเพิ่ม แต่ทว่าการศึกษาเพื่อบูรณะประติมากรรมเก่าๆ ให้คงอยู่ตลอดไปนั้น ก็มีความสำคัญยิ่ง
จึงไม่แปลกใจที่เมืองเก่าต่างๆ ในยุโรป จะมีผลงานประติมากรรมบนสถาปัตยกรรมจำนวนมาก อย่างบนยอดโดมที่เห็น
มีส่วนช่วยให้สถาปัตยกรรมดูมีความน่าสนใจขึ้นอีก
มาเจอสวนเล็กๆ ซึ่งเบื้องล่างจะเป็นแม่น้ำเอลเบอ (Elbe) และมองเห็นอีกฝั่งของแม่น้ำ ซึ่งเป็นย่านเมืองใหม่
อากาศก็เย็นสดชื่น เหมาะแก่การบันทึกภาพไว้ในความทรงจำ
เป็นการหยุดวัยในภาพไปด้วย
มองเห็นสะพานเจ้ากรรม ที่ทำให้ถูกถอดถอนจากมรดกโลก เป็นเพราะการก่อสร้างนั้น ใหม่เกินกว่าจะเข้าพวกกับสะพานเก่าอื่นๆ จึงทำให้เสียความคลาสสิคไป
เป็นที่น่าเสียดาย เพราะเชื่อว่าหากจะสร้างสะพานใหม่ให้ดูเก่านั้น เทคโนโลยีของวิศวกรเยอรมัน ทำได้แน่นอน
พวกเราคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า ถ่ายภาพไว้เป็นที่ระทึก ... เอ๊ย! ระลึก
สะพานอื่นๆ ของลุ่มน้ำ Elbe นี้ ก็เก่าแก่ มองเห็นได้จากภาพ สังเกตว่ามีเรือนักท่องเที่ยวมาเทียบท่าคงจะล่องมาตามแม่น้ำ และแวะให้นักท่องเที่ยวได้แวะพักเที่ยวเมือง Dresden แห่งนี้
สถาปัตยกรรมที่เรียงรายฝั่งเมืองเก่านี้ ดูสวยงามมาก ซึ่งเอนทรีต่อๆ ไป จะพาไปมองจากอีกฝั่งของแม่น้ำข้ามมา จะเป็นภาพที่สวยงามมากๆ
ด้วยรูปแบบและสีสันที่เข้ากันทั้งบริเวณ ทำให้ดูเหมือนเป็นกลุ่มสถาปัตยกรรมขนาดยักษ์
มีมุมนั่งพักชมวิว
สำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ จะสนุกมากเพราะมีมุมสวยๆ เต็มไปหมด
ประติมากรรม สวยๆ ทั้งนั้น
เสียดายที่ท้องฟ้าไม่สดใส เพราะมีฝน ไม่เช่นนั้นจะได้ภาพมาเป็นโปสการ์ดมาเป็นคอลเลคชั่นจำนวนมากแน่นอน
ใช้ขาตั้งกล้องให้เป็นประโยชน์ในการถ่ายภาพหมู่ซะหน่อย ... หลังจากเป็น นายแบก ขาตั้งกล้องมาเป็นชั่วโมง
ชอบเมืองนี้ตรงที่อยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งทำให้ถ่ายภาพมุมกว้างๆ ได้สวยงาม
ท้องฟ้าขมุกขมัวเลยทำให้ดูไม่สดใส เชื่อว่าพรุ่งนี้ต้องเป็นวันสดใสของพวกเราแน่ๆ
เดินกลับมาจนครบรอบแล้วบริเวณโบสถ์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับโรงโอเปร่า
เจอภาพมุมสูงเลยถ่ายเก็บไว้ จะมองเห็น Dresden Frauenkirche (Church of Our Lady) และบริเวณโดยรอบ
ไว้มาติดตามกันต่อเร็วๆ นี้ ยังมีมุมสวยๆ มุมแปลกๆ ในเมืองเดรสเดินแห่งนี้ ไว้เที่ยวไปด้วยกันนะ