เช้าวันใหม่ด้วยความสดใสกว่าเมื่อวานนี้ ซึ่งมีฝนตกโปรยปรายตลอดบ่าย จึงทำให้วันนี้เราน่าจะข้ามไปเดินเที่ยวในอีกฝั่งของแม่น้ำเอลเบอ
เดินผ่านโรงโอเปร่าที่พวกเราได้เข้าไปเดินหลบฝนเมื่อวานนี้
และเดินกันต่อมาถึงสะพาน เพื่อเดินข้ามแม่น้ำไปยังฝังเมืองใหม่
ได้เห็นท้องฟ้าแบบนี้ ก็รู้สึกดีใจที่วันนี้ น่าจะไม่เจอฝนตกอีก แถมยังได้ถ่ายภาพสดใสกัน
อย่างที่ได้กล่าวมาในเอนทรีก่อนหน้านี้ เล่าถึงแม่น้ำเอลเบอ (Elbe) และลุ่มน้ำแห่งนี้ เคยเป็นมรดกโลกอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะถูกยกเลิก เนื่องจากมีการสร้างสะพานขึ้นใหม่ โดยสถาปัตยกรรมไม่เข้าพวกกับสะพานโบราณดังภาพ ทำให้น่าเสียดายทัศนียภาพที่เสียความเก่าแก่ไป
มองโรงโอเปร่าจะสะพานได้อย่างชัดเจน
รวมทั้งโบสถ์เก่าแก่ และรถรางไฟฟ้าที่แล่นไปมาภายในเมือง Dresden แห่งนี้ ไม่สร้างมลพิษทางเสียงและอากาศ ให้มาทำลายสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า
เป็นเมืองหนึ่งในยุโรปที่มีโอกาสมาสัมผัส และรู้สึกถีงความสงบ สวยงาม ไม่พลุกพล่านเหมือนหลายๆ เมืองที่เคยไปมา
หากจะท่องเที่ยวแบบชิลๆ ไม่เร่งรีบ อยากแนะนำเมืองนี้ไว้ในรายการท่องเที่ยวลำดับต้นๆ เลย
เพราะได้สัมผัสทั้งสถาปัตยกรรม วิถีชีวิต และรู้สึกถึงความปลอดภัยในการท่องเที่ยว
ไม่นานนักเราก็ข้ามมาถึงอีกฝั่งของแม่น้ำเอลเบอ
ได้มองเห็นเมือง Dresden อีกมุมมอง
อีกทั้งช่วงนี้ยังเป็นฤดูใบไม้ผลิพอดี อากาศหนาว กลางแดดอุ่น ดอกไม้สร้างสีสรร
โดยเฉพาะได้ชม ดอกซากุระ หรือ Cherry Blossom กำลังเบ่งบานเต็มต้น
โดยไม่ทราบมาก่อนว่าจะได้พบเห็นแถวนี้ ซึ่งเมื่อ 3 วันที่แล้ว พวกเราก็ได้พบบริเวณข้างๆ มหาวิหารโนเตรอดาม (Notre Dame) ในกรุงปารีส
ถือโอกาสบันทึกภาพเพื่อนรักวัยเรียน เป็นที่ระลึกกันซักหน่อย ... แช๊ะ!
ต้องถือเป็นความน่าทึ่ง และชื่นชมชาวเยอรมัน
ที่เนรมิตโดยการบูรณะ สถาปัตยกรรมเหล่านี้ ให้กลับมาสวยงามดังเดิม
เมื่อครั้งที่ถูกทำลายไปกว่า 90% ของเมือง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ทำให้วันนี้ เรามีฉากหลังสวยงาม สำหรับบันทึกภาพแห่งความทรงจำ
อิจฉาหลายๆ เมืองที่มีสวนสาธารณะและทางเดินริมแม่น้ำ ซึ่งหาแทบไม่เจอในกรุงเทพฯ เลย
น่าเสียดายขาดสถานที่พักผ่อนพร้อมสวนสวยๆ ในการชมความงามริมแม่น้ำในบ้านเรา
ยังมีการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมเก่าไว้ในอยู่ตราบนานแสนนาน
อยากให้บ้านเราตระหนักถึงการรักษาโบราณสถานไว้ตราบนานเท่านาน
สีสันแบบนี้ สะกดสายตา และอยากเก็บบันทึกภาพไว้ชื่นชมนานๆ
เป็นการผสานธรรมชาติและสถาปัตยกรรมเข้ากันอย่างลงตัว
อีกอย่าง ต้องยกให้เมืองนี้ เป็นเมืองจักรยานอย่างแท้จริง เห็นผู้คนใช้จักรยานกันเป็นจำนวนมาก
พวกเราเดินทางกันต่อเข้ามาในเมือง ซึ่งวันนี้มีภารกิจสำคัญมากอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือ หาทางแตกแบงค์ 500 ยูโร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในเงินกองกลางของพวกเรา เนื่องจากร้านค้าทั่วไป ไม่ยอมรับธนบัตรดังกล่าว บางร้านถึงกับตกใจ ไม่เคยเห็นธนบัตร 500 ยูโร ไม่รู้แอบนึกไปหรือไม่ว่า "ไอ้ชาวเอเซียสี่คนนี้ มันเอาแบงค์ปลอมมาใช้รึป่าวว่ะ!"
ขนาดที่ว่า เราเดินไปธนาคารในย่านนี้ ยังไม่ยอมให้แลกเป็นแบงค์ย่อย ถือเป็นข้อควรระวังหรือคำเตือน ในการพกเงินธนบัตรใหญ่ 500 ยูโร (คิดเป็นเงินไทย ประมาณ 22,500.- บาท) ไปใช้จ่าย แนะนำให้พอธนบัตรสูงสุดใบละ 100 ยูโร จะดีกว่า
ไว้จะมาเฉลยในเอนทรีต่อๆ ไปว่า พวกเราผ่านพ้นวิกฤตินี้มาได้อย่างไร
ได้เวลาดื่มกาแฟ หาขนมอร่อยๆ ทานกัน ซึ่งในวันนี้เราจะไปตามหาสถานที่แห่งหนึ่ง มีรูปแบบการตกแต่งอย่างมีศิลปะของท่อระบายน้ำฝนนอกตัวอาคาร ไว้มาติดตามในเอนทรีต่อไป
แต่ทว่า ตอนนี้ได้เวลาเพิ่มความอ้วน และรักษาระดับคาเฟอีนในเลือดให้คงทีก่อน
ยังมีอะไรที่แปลกอื่นๆ อีก ไว้มาติดตามกัน ได้เวลาก้าวเดินต่อไป