เราสามคนยังมีเวลาท่องเที่ยวในเมือง Dresden แห่งนี้อีกหนึ่งวันเต็ม ซึ่งในตอนเย็นวันนี้ พวกเราต้องไปขึ้นรถไฟเพื่อกลับไปเมือง Frankfurt กัน และในตอนนี้เราจะเดินข้ามสะพานอีกแห่งใกล้ที่พักเพื่อเดินไปยังฝั่งด้านเหนือ ไปตามทางขนานกับแม่น้ำ Elbe ผ่านสวนดอกซากุระและพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังเก่า จากนั้นก็วกกลับมาอีกสะพาน เพื่อเข้าไปเที่ยวในโบสถ์ ปิดท้ายด้วยพระราชวัง Zwinger
ในบางครั้งการท่องเที่ยวซ้ำๆ หรือเดินผ่านเส้นทางเดิม แต่ทว่าบรรยากาศเปลี่ยน ก็ได้ภาพที่แตกต่างได้เหมือนกัน
ซึ่งการคาดหวังในการไปท่องเที่ยวไม่ว่าสถานที่ใด มักจะขอไว้ซัก 3 อย่าง คือ ฟ้าสวยใส ฝนไม่ตก และอากาศหนาว ถ้าได้ครบสามสิ่งนี้ ไปเที่ยวไหนก็มีความสุขแล้ว แม้ว่าจะซ้ำสถานที่เดิมก็ตาม
อีกทั้งการท่องเที่ยวแบบกำหนดโปรแกรมไว้คร่าวๆ ไม่เร่งรีบ อยากหยุดถ่ายรูป อยากเดินต่อ มุมไหนสวยก็อยู่นานหน่อย ทำให้ได้มีโอกาสท่องเที่ยวแบบเจาะลึกได้เต็มที่
ซึ่งบางครั้งเราไม่ได้คาดหวังหรือไม่ได้ศึกษาข้อมูลมาก่อน อาจมีเรื่องที่ทำให้เราประทับใจได้เหมือนกัน อย่างไม่นึกว่าจะได้พบกับสถาปัตยกรรมแบบนี้ซึ่งไปในทางศิลปะอิสลามในเมือง Dresden แห่งนี้
เวลามองเห็นเมืองอื่นๆ ที่เขามีถนนทางเดิน หรือทางปั่นจักรยานริมแม่น้ำแล้วอดอิจฉาไม่ได้จริงๆ
ข้ามสะพานมาถึงทางด้านเหนือกันแล้ว มองเห็นสถานีรถไฟ Dresden-Neustadt Station อยู่ไม่ไกล อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิพอดี ต้นไม้ต่างผลิดอกออกใบใหม่ เพิ่มสีสันได้อย่างดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดอกซากุระ (Cherry Blossom) บานไกลในยุโรป
มีหลากหลายสายพันธุ์ล้วนแล้วมาจากสปีชี่ส์ที่มีชื่อว่า Prunus avium และ Prunus cerasus
แม้ว่าลำต้นจะไม่สูงนัก แต่ทว่าออกดอกบานทั่วไปหมดทุกกิ่ง
ต้นนี้สีชมพูอ่อน ซึ่งบางต้นก็จะเป็นสีชมพูเข้ม
มองไกลๆ ก็ดูไม่ต่างจากต้นชมพูพันธุ์ทิพย์บ้านเรา
ทำเอาตากล้องทุกคนอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ขอบันทึกความสวยไว้ชื่นชมนานๆ
เพราะเดินผ่านไปคงลืมความงามไปแล้ว แต่ทว่านำกลับมาชมใหม่ ก็นึกย้อนถึงบรรยากาศวันนั้นได้
มีต้นทิวลิป (Tulip) อยู่บ้าง สีชมพูเข้ากับ Cherry Blossom ได้ดี
ชมดอกไม้ ก็ไม่ลืมจะชมใบไม้หลากสีสันไปด้วย
เราเดินมาถึง Dresden Museum of Ethnology อยู่ในบริเวณของ Baroque Japanese Palace ซึ่งรวบรวมสิ่งประดิษฐ์และศิลปวัตถุกว่า 90,000 ชิ้นจากทั่วทุกมุมโลก
บริเวณที่ว่างตรงกลางของพิพิธภัณฑ์ มองเห็นประติมากรรมหัวเสารูปร่างแปลก
หากมองที่ใบหน้า จะรู้สึกว่าแต่ละตัวกำลังจ้องมาที่เรา ดูน่ากลัวเหมือนกัน
จากนั้นก็เดินกันต่อเลาะขนานไปกับแม่น้ำ Elbe
สังเกตเห็นเรือลำนั้น น่าจะเป็นเรือกลไฟ แบบเรือโบราณ มีไอน้ำพวยพุ่ง
เตรียมตัวออกแล่นไปตามแม่น้ำ
ปล่องควันถูกยกขึ้น และแล่นออกไป
ภาพคู่หนุ่มสาวที่เดินนำหน้า ทำให้รู้สึกอยากถ่ายภาพแบบโรแมนติคดูบ้าง จัดแจงเปลี่ยนโหมดการถ่ายภาพเป็นแบบขาว-ดำ (Monochrome) ซึ่งทำให้ภาพดูนุ่มนวล โดยเฉพาะมีฉากเป็นสถาปัตยกรรมที่ดูคลาสสิคแบบนี้
อยากแนะนำให้ลองบันทึกภาพแบบขาว-ดำ ดูบ้างเหมือนเราได้ย้อนกลับในอดีต
เก็บภาพความทรงจำไว้ แม้สีสันจะไม่ฉูดฉาด แต่นำภาพขาว-ดำมาพิมพ์ใส่กรอบพื้นสีขาว ทำให้ดูโดดเด่น และดูไม่เบื่อเลย
เป็นความชื่นชอบอีกอย่างคือ การถ่ายภาพและมีป้ายบอกชื่อเมือง หรือสถานที่นั้นๆ เหมือนเป็นการเช็คอินปักหมุดอย่างหนึ่ง
ยิ่งได้ถ่ายภาพกับองค์ประกอบที่ดูเก่าอย่างการใช้รถม้า ยิ่งช่วยย้อนเวลาให้ภาพถ่ายได้อีก
พอดีโบสถ์เปิด พวกเราจึงขอเข้าไปชมด้านในกัน
โบสถ์นี้มีความสว่างจากแสงที่ลอดผ่านกระจกบนเพดาน ซึ่งแตกต่างจากโบสถ์ส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยวชมที่มักจะมืด
ทั้งที่เราเห็นจากตัวสถาปัตยกรรมภายนอกที่ดูเก่าแก่ แต่อย่างที่ทราบว่า เมืองแห่งนี้เพิ่งถูกบูรณะขึ้นใหม่ จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ภายในโบสถ์แห่งนี้ จึงดูใหม่มาก
ซึ่งสถาปัตยกรรมต่างๆ ก็มักถูกปรับปรุงซ่อมแซมให้คงสภาพและสวยงามอยู่เสมอ ซึ่งในบางมุมภายในโบสถ์นี้ ยังมีช่างกำลังปรับปรุงอยู่เช่นกัน
จึงไม่แปลกใจที่มีนักท่องเที่ยวทั้งจากคนในยุโรปเอง หรือจากทั่วโลก หลงใหลในสถาปัตยกรรมมาท่องเที่ยวทั้งที่เมือง Dresden แห่งนี้ และเมืองอื่นๆ ในยุโรป ถึงแม้ค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวจะสูง แต่ทว่ารู้สึกคุ้มค่ากับใช้จ่ายไปในการท่องเที่ยวทุกทริป
ไม่เพียงแต่ความสวยงาม แต่ทว่าส่วนประกอบต่างๆ มีช่วยส่งเสริมกันอย่างรถม้าคันนี้ ช่วยเพิ่มสีสันบรรยากาศได้อีกทางหนึ่ง
ทำให้รู้สึกเหมือนย้อนยุคไปสมัยก่อนที่ยังไม่มีการใช้รถยนต์
หรือถ้าพูดถึงรถยนต์ ก็ยังเลือกใช้รถที่ดูเก่าโบราณคลาสสิคอีกด้วย
เรามาถึงพิพิธภัณฑ์อีกแห่ง คือ Grünes Gewölbe ซึ่งเป็นสถานที่จัดเก็บของล้ำค่าแห่งเมืองนี้ ซึ่งต้นแมกโนเลีย (Magnolia) กำลังผลิบานกลีบแข็งอยู่เต็มต้น
ภายในมีภาพของเมืองที่ได้รับการบูรณะเมื่อไม่กี่ปีก่อน แต่พวกเราไม่ได้เข้าไปเที่ยวชมสมบัติล้ำค่า ดูเวลาแล้วเวลาของพวกเรากำลังล้ำหน้าไปมากแล้ว
ได้เวลาพักขา ดื่มกาแฟกัน ซึ่งไฮไลท์ของวันนี้ซึ่งเป็นจุดหมายต่อไปของพวกเราก็คือ เที่ยวชมพระราชวัง Zwinger ซึ่งอยู่ตรงข้ามอีกฝั่งของถนน ไว้มาติดตามกันต่อเร็วๆ นี้