กลับมายังจุดตั้งต้นทริปนี้ ที่เมือง Frankfurt หรือ มหานครแฟร้งค์เฟิร์ต ซึ่งพวกเรายังเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันครึ่ง ซึ่งตลอดบ่ายวันนี้เราจะเดินออกเที่ยวไปกินไป ทั้งเดินเท้านั่งรถราง และรถไฟใต้ดิน
อย่างที่ทราบว่าเมือง Frankfurt แห่งนี้ ถือเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการลงทุนของประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน โดยเป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์และตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป
เมืองนี้ได้รับสมญานามจากชาวเยอรมันว่า "ไมน์ฮัตตัน" (Mainhattan) เพราะมีตึกสูงมากที่สุดในเยอรมันคล้ายแมนฮัตตันของสหรัฐอเมริกา แต่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำไมน์ (Main) จึงเรียกว่า ไมน์ฮัตตัน
มหานครแฟร้งค์เฟิร์ตเป็นเมืองใหญ่ที่มีความเหมาะสมที่จะเป็นเมืองหลวงของประเทศเยอรมันตะวันตกได้สบาย ด้วยความครบครันของสาธารณูปโภคและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านการเงิน แต่ด้วยอุบัติเหตุทางการเมืองทำให้ไม่ได้เป็นเมืองหลวง
แฟร้งค์เฟิร์ตจึงไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวอย่างเมืองอื่นๆ แต่เป็นเมืองที่ต้องมา เพราะจุดเริ่มแรกก็ต้องผ่านสนามบินแฟร้งค์เฟิร์ตแล้ว (มีอีกทางเลือกหนึ่งคือ เมืองมิวนิค แต่อยู่ไกลเมืองอื่นๆ ในเยอรมันพอสมควร) การเดินทางด้วยรถไฟไปทั่วเยอรมันโดยมากก็ต้องผ่านแฟร้งค์เฟิร์ต
ในย่านนี้จะถือเป็นย่านช้อปปิ้งของเมืองนี้เลยก็ว่าได้ มีทั้งห้างสรรพสินค้าและร้านค้าต่างๆ
รวมถึง ร้านสินค้าแบรนด์เนมจำนวนมาก เรียกได้ว่า มาที่เดียวครบทุกแบรนด์ เดินในย่านนี้มักจะได้ยินเสียงภาษาไทยลอยตามลมมา เพราะทัวร์ต่างๆ จะพาลูกค้ามาลงในย่านนี้
มีนายแบบเดินหลุดออกมาจากหน้าต่างแสดงสินค้า
เรียกได้ว่า ถูกใจนักช๊อปแบรนด์เนม นอกจากนี้ ยังมีรถหรูหลากหลายยี่ห้อจอดอยู่หน้าร้านต่างๆ
แต่ไม่เกี่ยวกับ Segway รถพาลูกทัวร์ท่องเที่ยวอย่างในภาพนี้นะ
แต่ละร้านก็มีประติมากรรมประดับอยู่ภายนอกตัวอาคาร เพิ่มความน่าสนใจมากกว่าตึกทรงสี่เหลี่ยม
พวกเราก็เดินผ่าน Alte Oper ซึงเป็นโรงโอเปร่าซึ่งทำพิธีเปิดเมื่อปี ค.ศ. 1880 แต่ทว่าถูกทำลายด้วยการทิ้งระเบิดในสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี ค.ศ. 1944 แต่ก็ได้รับการบูรณะเสร็จในปี ค.ศ. 1970 และเปิดใช้อีกครั้งในปี ค.ศ. 1981 พวกเราเคยมาจิบกาแฟที่หน้าโรงโอเปร่านี้ 2 ครั้งแล้ว ซึ่งบ่ายวันนี้ต้องขอไปจิบที่ร้านอื่นๆ จะดีกว่า
เดินหาร้านจิบกาแฟและขนมยามบ่าย ซึ่งเพื่อนที่อยู่ Frankfurt เป็นคนพาเดินไป
เดินผ่านย่าน ไมน์ฮัตตัน (Mainhattan) เต็มไปด้วยตึกสูง
ไม่นานนัก พวกเราก็มาถึงจุดหมายความอร่อย La Maison du Pain
ต้อง แช๊ะ! ก่อน ชิม
สวยจนไม่อยากกินซะงั้น ขนมสไตล์ฝรั่งเศสแท้ๆ (French Pastries) ทำเอานึกย้อนไปตอนที่อยู่ปารีสของทริปนี้
ที่เดินไปมุมไหน ก็จะพบกับร้านขายขนมสีสันชวนหิวได้ตลอด
หลังจากจิบกาแฟ และทานขนมอร่อย ก็ได้เวลาเดินย่อยชมเมืองกันต่อ
ช่วงเวลานี้อยู่ในฤดูใบไม้ผลิพอดี จึงได้เห็นสีสันจากมุมต่างๆ ระหว่างการเดินเล่นในเมือง
เราเดินมาจนถึงสถานีหัวลำโพง "Frankfurt (Main) Hauptbahnhof" ด้วยความที่เป็นเมืองใหญ่ก็ต้องมีย่านที่น่าพิสมัยสำหรับนักเดินทางแต่ไม่ค่อยน่าพอใจสำหรับคนท้องถิ่น นั่นก็คือ สถานบันเทิงยามราตรี ซึ่งตามหลักแล้วเป็นปกติที่สถานบันเทิงยามราตรีจะเกิดขึ้นในทุกเมืองที่เป็นชุมทาง แหล่งเริงรมย์ยามค่ำคืนของมหานครแฟร้งค์เฟิร์ตอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าใดนัก เพียงแค่เดินข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่งเท่านั้น อย่างที่เห็นในภาพ
สำหรับทริปนี้ใช้เวลาในการเดินทางรวม 10 วัน กับบันทึกการเดินทางจำนวน 36 ตอน ซึ่งน่าจะมีรายละเอียดมากพอสมควร ด้วยการบันทึกไว้เพื่อนำกลับมาเปิดอ่าน ยังสามารถระลึกถึงการเดินทางที่ประทับใจกับเพื่อนสนิท เพื่อนสมัยเรียนมัธยมกันมา และถือโอกาสแบ่งปันเป็นบล๊อก เผื่อเป็นข้อมูลสำหรับผู้ที่จะใช้ประกอบการเดินทาง ก็มีความยินดีอย่างมาก
ถือโอกาสบันทึกภาพไว้ย้อนกลับมาดูได้ตลอด และหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้ผู้ที่เข้ามาอ่านได้เห็นภาพไปด้วยกัน
ไม่มีทริปใด ที่ไม่มีวันยุติ เพื่อรอการเริ่มต้นทริปต่อไป
ได้ชาร์จพลังอย่างเต็มที่ในการทำงาน และรอทริปต่อไปที่จะย้อนกลับมาเที่ยวอิตาลีอีกครั้ง ซึ่งเมื่อปี ค.ศ. 2009 พวกเราได้เที่ยวแค่เมืองเวนิส (Venice) ในประเทศอิตาลี ซึ่งทริปต่อไปในอีก 2 ปีข้างหน้า พวกเราขอย้อนกลับมาอีกและเที่ยวแบบเจาะลึก ตื่นเต้น เร้าใจ ชิมอาหารเด็ดใน 3 เมือง ได้แก่ กรุงโรม (Rome) ซึ่งเป็นเป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซีโอและประเทศอิตาลี, เมืองเนเปิลส์ (Naples) หรือ นาโปลี (Napoli) เป็นเมืองหลวงของแคว้นกัมปาเนียและจังหวัดเนเปิลส์ในอิตาลี มีชื่อเสียงในด้านความร่ำรวยทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ดนตรี และศาสตร์การทำอาหาร และอีกเมืองคือ ฟลอเรนซ์ (Florence) หรือ ฟีเรนเซ (Firenze) เป็นเมืองหลวงของแคว้นทัสกานีและมณฑลฟลอเรนซ์ในประเทศอิตาลี
ไว้มาติดตามกันต่อนะ และต้องขอบคุณที่ติดตาม "ร้อนนัก ไปพักร้อน 2011" ซึ่งใช้เวลาเกือบ 3 ปีเต็ม จึงจะปิดเรื่องราว 36 ตอนได้ ด้วยเพราะภารกิจต่างๆ ด้วยสื่อสังคมออนไลน์หลากหลาย จึงทำให้ใช้หลายๆ ช่องทางในการสื่อสาร แต่อย่างไรก็ตามจะขอใช้บล๊อกแห่งนี้บันทึกการเดินทางฉบับสมบูรณ์ เพื่อบันทึกความทรงจำ และเก็บภาพต่างๆ ที่พบเห็นมาแบ่งปันกัน