จากเอนทรีที่แล้วจะเป็นการปิดทริป "ร้อนนัก ไปพักร้อน" ปี ค.ศ. 2011 ที่เมือง Frankfurt พอมาถึงทริปนี้ ก็เป็นการเปิดทริป ปี ค.ศ. 2013 ยังเมือง Frankfurt เช่นเดียวกัน โดยความรู้สึกเหมือนผ่านไปไม่นานทั้งที่ห่างกันถึงสองปีเต็ม แต่สำหรับทริปนี้แทบจะมีเรื่องให้ลุ้นอยู่ตลอด ตั้งแต่การช่วยกันเลือกว่าจะไปเที่ยวไหนดี จนกระทั่งสุดท้ายตกลงใจกันไปท่องเที่ยวใน 3 เมืองใหญ่ของอิตาลีแล้วกัน
พอกำหนดวันที่จะไปท่องเที่ยวได้แล้ว ก็ติดต่อที่ การบินไทย สาขาสีลม เพื่อขอแลกตั๋วด้วยไมล์ จำนวน 3 คน ซึ่งได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่ฯ ว่า ไม่สามารถรับจองเพราะมี Waiting List อยู่จำนวนมาก คงเพราะมีคนเดินทางช่วงก่อนหยุดยาวเดือนเมษายน จนในที่สุดก็เลือกไปติดต่อที่ การบินไทย สำนักงานใหญ่ โดยเจ้าหน้าที่ฯ ยอมบันทึกการจองให้ ผ่านไปประมาณเกือบ 1 เดือน ก็ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่า สามารถออกตั๋วได้แล้ว ลุ้นแรกก็ผ่านฉลุย แลกตั๋วมาเรียบร้อยโดยจ่ายเฉพาะภาษีน้ำมันและภาษีสนามบิน (Surcharge) คนละประมาณ 12,000.- กว่าบาท ช่วยประหยัดไปได้มาก จากนั้นก็เริ่มกำหนดวันเรื่องการขอวีซ่า ซึ่งกว่าจะนัดเวลาว่างตรงกันได้ก็วุ่นวายพอสมควร เนื่องจากเพื่อนคนหนึ่งในก๊วนติดภารกิจเดินทางบ่อย กว่าจะโทรนัดวันเวลากับสถานทูตเยอรมัน เนื่องจากต้องไล่เรียงตามลำดับผู้ที่โทรเข้ามาจองเวลา แต่ในที่สุดก็ได้วีซ่าเชงเก้น (Schengen Visa) มาเรียบร้อยดี
จากนั้นก่อนการเดินทางประมาณ 1 สัปดาห์ ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากการบินไทยอีกครั้ง เรื่องการแจ้งเวลากำหนดการเดินทางใหม่ โดยบินเร็วขึ้นกว่าเดิมประมาณ 30 นาที โดยไม่ทราบสาเหตุ พอถึงวันเดินทาง ปรากฏว่ามีการเปลี่ยนเครื่องบิน ทำให้ที่นั่งที่เราจองไว้ 3 ที่นั่งติดกัน ต้องกระเด็นไปคนละทิศละทาง พอเพื่อนสอบถามเรื่องที่นั่ง ทางเจ้าหน้าที่ฯ ก็เสนอเปลี่ยนตั๋วให้ไปนั่งในชั้นธุรกิจกันแทน เพื่อจะได้นั่งอยู่แถวเดียวกัน ก็เลยได้โอกาสดีเลย สบายแฮ อิ่มแปร้ หลับสบายตลอดระยะเวลาการบินประมาณ 11 ชั่วโมง ถึงปลายทางเมือง Frankfurt ในช่วงค่ำ
หลังจากเพื่อนมารอรับที่สนามบินเพื่อพาไปพักที่บ้าน จำได้ว่าค่ำวันนั้นอากาศหนาวมากๆ ทั้งที่อยู่ในช่วงเดือนเมษายนแล้ว ซึ่งในปีนี้เราได้ยินข่าวเรื่ออากาศหนาวผิดปกติในยุโรปเมื่อช่วงต้นปี และในคืนนี้พวกเราพักผ่อนอย่างเต็มที่ และในช่วงเช้าจะออกมาเดินเที่ยวในเมือง Frankfurt กัน
ซึ่งเป็นเช้าวันเสาร์ จึงมีตลาดนัดริมแม่น้ำไมน์ (Main) พอดี ไม่ว่าจะเป็นร้านขายไส้กรอกเยอรมัน
รวมทั้งการขายของเหลือใช้ ของเก่าต่างๆ บางชิ้นถือว่ามีคุณค่าด้วยศิลปะโบราณ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าของเก่าจะหวง แล้วมาทวงคืนยามค่ำคืนหรือไม่ คงต้องลุ้นเอาเองคนขายไม่กล้ารับประกัน
เรียกได้ว่า เก่าของเขา แต่ใหม่ของเรา
ซึ่งตลาดนัดเฉพาะวันเสาร์นี้ อยู่บนถนนที่ขนานไปกับแม่น้ำไมน์ (Main) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของเมืองนี้ มองมุมนี้ที่ไรอิจฉาจริงๆ เพราะบ้านเราแทบไม่มีทางเดินเล่นริมน้ำเจ้าพระยา
แม้จะเป็นการเดินทางมายังเมือง Frankfurt am Main เป็นครั้งที่ 4 แต่ทว่า มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ซึ่งครั้งที่แล้วโบสถ์สีแดงทางซ้ายมือก็อยู่ระหว่างการซ่อมแซม และครั้งนี้ก็มีตึกสูงที่สร้างขึ้นใหม่ในมุมขวามือในภาพนั้น นั่นก็คือ
ธนาคารกลางแห่งยุโรป (European Central Bank หรือ Neubau der Europäischen Zentralbank ในภาษาเยอรมัน) ซึ่งกำหนดแล้วเสร็จปลายปี ค.ศ. 2014 นี้ และในภาพล่างกลางที่มีตราสัญลักษณ์ยูโร จะเป็นอาคารเก่าซึ่งก็ตั้งอยู่ในเมืองนี้เช่นเดียวกัน และสิ่งที่ยังเหมือนเดิม คือ แม่น้ำไมน์ (Main River) ที่ยังใสสะอาด และอากาศที่สดชื่น
มองเห็นการก่อสร้างตึกสูงอื่นๆ เพิ่มเติม สมกับเป็นเมืองแห่งการเงิน ที่เป็นศูนย์กลางของธนาคาร และสถาบันการเงินหลายๆ แห่ง
ก่อสร้างแข่งความสูงกัน แต่ทว่า อาคารใหม่นั้นมีความสวยงามและทันสมัยควบคู่ไปด้วย โดยไม่ได้เน้นแข่งขันว่าจะต้องสูงที่สุด แต่กลับเน้นเรื่องการประหยัดพลังงาน รักษาสภาพแวดล้อมมากกว่า
ไม่นานนัก เราก็เดินมาถึงโรงโอเปร่าโบราณ (Alte Oper) ซึ่งพวกเราจะแวะมาทุกครั้งที่มาที่เมืองนี้ ก็ยังคงงดงามเหมือนเดิม
ก่อนจะเดินไปต่อยังย่านช๊อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากกัน
พวกเราเดินตามไกด์ประจำก๊วน ซึ่งแน่นอนขาดไม่ได้ในทุกทริป ไม่งั้นคงไม่เกิดทริป "ร้อนนัก ไปพักร้อน" แต่ละครั้งอย่างแน่นอน
ใครชอบยี่ห้อไหน เชิญเลือกจับจ่ายได้สบายตามใจชอบ
เมื่อได้แล้ว ก็เดินกันต่อ ทำเวลากัน เพราะช่วงบ่ายวันนี้ พวกเราจะต้องเริ่มต้นทริปโดยบินตรงไปยังกรุงโรม (Rome)
เดินไป ฟังเสียงเครื่องยนต์ไปด้วย โดยเฉพาะเสียงของ Super Car ที่ทำให้ต้องมองหาแหล่งที่มาของเสียงอันไพเราะนั้น โดยเฉพาะ Mercedes-Benz SLS AMG สปอร์ตปีกนกสีส้มสัญชาติเยอรมันคันนี้ ถูกใจมากๆ
ซึ่งสามารถพบเห็นรถสวยๆ ได้บ่อยในย่านนี้ ย่านที่ใกล้ร้านสินค้าแบรนด์เนมทั้งหลาย
เดินไป เก็บบันทึกภาพไป หาสีสันเพิ่มเติมในภาพด้วย มุ่งหน้าสู่ตลาดสด
ซึ่งเพื่อนมาหาซื้อชีสไว้นำกลับไปเป็นของฝาก เนื่องจากวันเรากลับมาจากอิตาลีในวันอาทิตย์ ร้านค้า ตลาดสด ปิดหมด อดแน่ๆ หากไม่ซื้อในวันนี้ แต่ทว่ายังพอมีทางเลือกที่จะซื้อได้จากตลาดที่เมืองฟลอเรนซ์กันได้
สำหรับผักต่างๆ สอดไส้ชีส มองแล้วน่าทานไปซะทุกอย่าง คงเพราะสีสันชวนชิมจริงๆ โดยเฉพาะการแกล้มกับไส้กรอกเยอรมันหอมกรุ่นจากเตา ขอบอกว่า ฟินเว่อร์
ภารกิจอีกอย่างที่พวกเราทำเล่นสนุกๆ ทุกทริป นั่นคือ การเสี่ยงโชคจาก German Lotto โดยลงขันกันไว้ลุ้นขำๆ คุยเล่นสนุกกัน หากได้รางวัลใหญ่กะซื้อบ้านไว้ไปทำภารกิจ "ร้อนนัก ไปพักร้อน" กันทุกปี หรือมองเห็นคฤหาสน์ไหนสวยๆ ก็จะแอบลุ้นหวย Lotto คุยกันสนุกสนาน
ต่างช่วยกันเลือกเลขกัน ลุ้นกัน มันส์ดี แต่ทว่าโชคยังไม่มาหาพวกเรา แต่ที่รู้สึกโชคดีมากกว่าที่ได้มาท่องเที่ยวกันของก๊วนเรา เพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เรียนชั้นประถมและมัธยม
มองดูเวลาแล้ว ต้องทำเวลาเพื่อเดินกลับบ้าน
มาเที่ยวที่เมือง Frankfurt ทีไร หากไม่ช่วงหยุดยาวสงกรานต์ ก็ช่วงหยุดยาววันแรงงานแห่งชาติ ทำให้มองเห็นต้นไม้เหล่านี้ไร้ใบ เพราะอากาศยังหนาวอยู่
หากเดินตรงไปก็จะถึง Römer ซึ่งเคยเป็นศาลาว่าการเมือง Frankfurt แต่วันนี้ขอเดินไปทางซ้ายแทน
ซึ่งหัวมุมจะมีร้านกาแฟ Starbucks อยู่ด้วย แต่อยากแนะนำให้เดินตรงไปเล็กน้อย มีร้านช๊อกโกแลต ชื่อ Bitter & Zart มีขนมหลากหลายอร่อยๆ ให้เลือกซื้อกัน
เดินผ่านไปยัง Frankfurt Dom ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าแก่ ที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ Saint Bartholomew ซึ่งเมื่อ 2 ปีก่อนอยู่ระหว่างการซ่อมแซม ครั้งนี้จึงได้เห็นความสวยงามกลับคืนมาอีกครั้ง
ถือโอกาสถ่ายแบก ... เอ๊ย! ถ่ายแบบ ไปด้วย
เดินไป เรียกให้หยุดถ่ายภาพกัน แบบนี้อาจจะตกเครื่องบินได้
ซึ่งรถแวนมารับตรงเวลาที่นัดไว้ เพื่อไปส่งที่สนามบินและเดินทางด้วยสายการบินลุฟท์ฮันซ่า (Lufthansa) มุ่งหน้าสู่กรุงโรม เหมือนพาย้อนกาลเวลากลับไปสู่ยุคโรมัน
เริ่มต้นทริปการท่องเที่ยวประเทศอิตาลีเป็นครั้งที่ 2 ของก๊วนเพื่อนรักวัยเรียน ซึ่งเมื่อ 4 ปีก่อน พวกเราก็เดินทางไปยังเมืองเวนิส (Venice) เมืองที่ต้องบอกเลยว่า สวยงาม สุดโรแมนติก ทั้งเดินเที่ยวกันเกือบทั่วเกาะใช้เวลา 3 วันเต็ม รวมทั้งนั่งเรือไปเที่ยวเกาะอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง โดยสามารถย้อนกลับไปอ่านจากเอนทรีเก่าๆ ได้
เมื่อเครื่องบินลงแตะสนามบิน ผ่านเข้าประเทศอิตาลีเป็นที่เรียบร้อย ก็ลากกระเป๋ามาขึ้นรถไฟกัน เพื่อเดินทางจากสนามบินเข้ามายังตัวกรุงโรม ซึ่งภาพแรกที่โผล่พ้นประตูทางออกของสถานีรถไฟ ก็ได้เห็น "โคลอสเซียม" (Colosseum) สนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ยักษ์อยู่ตรงหน้า ซึ่งพวกเราลากกระเป๋าอีกไม่ไกล ก็ไปถึงพาร์ทเมนต์ที่จองไว้ ... ติดตามบันทึกการเดินทางกันต่อเร็วๆ นี้นะ มาเที่ยวกรุงโรม (Rome) ในมุมต่างๆ ผ่านภาพถ่ายไปด้วยกัน