Disable Preloader




ฮ่องกง ใครๆ ก็ไปเที่ยวเองได้ง่ายๆ สะดวกสบายสุดๆ : ตอนที่ 2

สำหรับการไปท่องเที่ยว สิ่งที่จะควบคุมไม่ได้ก็คือ สภาพอากาศ ซึ่งมีผลกระทบกับการท่องเที่ยว จึงต้องเช็คสภาพอากาศก่อนการเดินทาง แต่สมัยนี้การพยากรณ์อากาศ มีความแม่นยำมาก เพราะวันรุ่งขึ้นวางแผนนั่งเรือเฟอร์รี่ไปที่เกาะลัมมา (Lamma Island) แต่วันถัดไปจะไม่มีฝน จึงขอสลับวันในแผนการเที่ยวสักหน่อย

ซึ่งเช้านี้เจอฝนพรำตามพยากรณ์อากาศ เราจึงเดินไปทานอาหารเช้าใกล้ๆ โรงแรม ก่อนลงรถไฟใต้ดินไปเที่ยวในเมืองกัน โดยค้นจากเว็บมาก่อนแล้วว่า มีร้านอาหารแห่งหนึ่งชื่อ Australia Dairy Company (澳洲牛奶公司ซึ่งตอนแรกดูชื่อแล้ว นึกว่าเป็นบริษัท แต่ทว่าเป็นร้านเก่าแก่ดั้งเดิมของฮ่องกง แถมอาหารเช้าก็ดูแบบง่ายๆ แต่ไฉนมีคนมายืนรอต่อคิวเป็นแถวยาว ไม่นานนักเราสองคนก็ไปนั่งแจมกับคนอื่นในโต๊ะ ขอเมนูภาษาอังกฤษและเลือกสั่งเมนูง่ายๆ คือ ไข่คน, ขนมปังปิ้ง และซุปมักกะโรนี แต่ทว่า รสชาติอร่อยโดยเฉพาะไข่คนหรือไข่กวน (Scrambled Egg) อร่อยสุดๆ ที่เคยกินมาก มิน่าเล่าถึงเห็นคนแน่นร้านและสั่งเมนูนี้ทุกโต๊ะ

อิ่มแล้วก็ได้เวลาไปไหว้พระกันที่ "วัดหวังต้าเซียน" (Wang Tai Sin Temple) ซึ่งก็เดินทางได้ง่ายๆ ด้วยรถไฟใต้ดิน MTR จากสถานี Jordan ไปเปลี่ยนขบวนที่ Mongkok และต่อไปยังสถานี Wong Tai Sin

ถือโอกาสแนะนำบัตรปลาหมึก (Octopus Card) ซักหน่อย ซึ่งเป็นเหมือนบัตรเงินสดเอนกประสงค์ ใช้ได้ทุกอย่างตั้งแต่ ขึ้นรถ ลงเรือ จับจ่ายสินค้าใน 7Eleven และร้านค้าต่างๆ โดยแนะนำให้ซื้อตั้งแต่ลากกระเป๋าออกจากสายพานรับกระเป๋า ก็จะเจอเคาท์เตอร์ขายตั๋ว Airport Express ซึ่งมีแบ่งตามประเภทต่างๆ ทั้ง เด็ก (Child), ผู้ใหญ่ (Adult) และ ผู้สูงอายุ (Elderly) และยังสามารถเติมเงินได้ง่ายๆ จากตู้เติมเงินอัตโนมัติ โดยแตะบัตร, สอดธนบัตรขึ้นต่ำ HK$50 และกดปุ่มยืนยัน เป็นอันเรียบร้อย สะดวกแทนการซื้อตั๋วแต่ละครั้ง และยังใช้จ่ายแทนเงินสดได้ง่ายๆ อีกด้วย

"หวังต้าเซียน" ชื่อนี้เหมือนจะเคยได้ยินจากหนังจีนเมื่อครั้งยังเด็ก ซึ่งเป็นวัดที่ผสมผสานเอาความเชื่อของ 3 ศาสนาไว้ด้วยกัน ทั้ง ศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า และ ขงจื้อ ไว้ด้วยกัน

ชาวฮ่องกงและนักท่องเที่ยว จึงมาสักการะและขอพรตามความเชื่อที่ว่า "หวังต้าเซียน" ผู้เคยเป็นคนเลี้ยงแกะ ได้บำเพ็ญเพียรภาวนาจนได้เป็นพระโพธิสัตว์ สามารถดลบันดาลให้ได้ตามพรที่ขอทุกประการ

จึงไม่แปลกใจว่า ทำไมจึงมีประติมากรรมรูปแกะอยู่มากมายในวัดแห่งนี้

และมีผู้มาจุดธูปขอพรตลอดเวลาทั้งวัน พร้อมทั้งเครื่องเซ่นแก้บนหลังจากที่ขอได้ตามคำอธิษฐาน

นอกจากจะได้สักการะและทำบุญแล้ว ยังมีมุมสวยๆ ในวัดมากมาย รวมทั้งมีสวนจีนข้างหลังวัด ซึ่งถือโอกาสไปนั่งหลบฝนชมบรรยากาศสดชื่น โพสต์เฟสบุ๊คและเช็คอินไปด้วย

แอบชอบตะเกียงนี้เป็นพิเศษ ไม่เหมือนที่ไหน ... ก่อนออกมาจากวัด อย่าลืมเดินขอพรรอบสระบัวแห่งนี้ 3 รอบ กลับมาเมืองไทยพรที่ขอไว้อาจสมหวัง และอย่าลืมกลับไปแก้บน เป็นเหตุผลให้กลับไปท่องเที่ยวฮ่องกงอีกนะ

หลังจากเดินออกจากวัด จะมองเห็นห้างสรรพสินค้าชื่อ "Temple" ซึ่งก็ขอแวะไปจิบกาแฟร้อนและทานขนมซักหน่อย ก่อนเดินทางไปยังอีกวัดหนึ่งที่ ... ห้ามพลาด หากมาเที่ยวฮ่องกง

จากนั้นก็ลงรถไฟใต้ดิน MTR ไปอีกหนึ่งป้าย ชื่อว่า สถานี Diamond Hill เพื่อไปยัง "สวนหนานเหลียน" (Nan Lian Garden) ซึ่งอยู่ติดกับ สำนักชีฉีหลิน (Chi Lin Nunnery)

ยังมีความทรงจำ ความประทับใจครั้งที่ได้มาเที่ยวที่สวนแห่งนี้เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเป็นสวนที่สวยมาก ต้นไม้ที่ถูกตัดแต่งอย่างเรียบร้อย ให้ความรู้สึกเหมือนสวนจีนผสมกับสวนญี่ปุ่น

ใครที่ชอบถ่ายภาพ ไม่ผิดหวังแน่นอน มีมุมสวยๆ มากมายโดยเฉพาะถ่ายคู่กับเก๋งจีนสีแดงโดดเด่นหลังนี้

ภายในมีสถานที่จัดแสดงนิทรรศการถาวรเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมไม้ของจีน ซึ่งน่าทึ่งมากโดยไม่มีการใช้ตะปูแต่อย่างใด

สวนแห่งนี้สร้างขึ้นในรูปแบบสมัยราชวงศ์ถัง ทัศนียภาพของสวนเป็นพื้นที่ที่มีการจัดแต่งอย่างปราณีตขนาดมากกว่า 3.5 เฮกเตอร์ ซึ่งการวางตำแหน่งของเนินเขา หิน น้ำ พืชและโครงสร้างต่างๆ ที่ทำจากไม้เป็นไปตามกฎและวิธีการเฉพาะมากมาย

แนะนำให้เดินเที่ยวโดยรอบ และมีสระน้ำขนาดใหญ่ที่มีการเลี้ยงปลาไว้

ซึ่งมีละอองฝนเล็กน้อย แต่อากาศเย็นสบายมาก เป็นการหลบร้อนช่วงสงกรานต์ได้อย่างดี ไม่ผิดหวังเลย

จากนั้นเราก็ข้ามทางเชื่อมจากบริเวณ สวนหนานเหลียน (Nan Lian Garden) ไปยัง สำนักชีฉีหลิน (Chi Lin Nunnery)

ก้าวย่างเข้าไปยังบริเวณสำนักชีในพระพุทธศาสนา นิกายมหายาน และได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมย้อนยุคที่สง่างามของศิลปะจีนสมัยราชวงศ์ถัง (Tang Dynasty) ซึ่งเคยเจริญรุ่งเรืองเมื่อกว่าพันปีก่อน สร้างจากไม้ท่อนใหญ่ๆ ปูพื้นด้วยหินอ่อน หลังคาปูด้วยกระเบื้องที่คัดสรรมาอย่างดี ซึ่งไม่ใช้ตะปูยึดติดแม้แต่ตัวเดียว โดยสุดยอดฝีมือช่างจีนจากมณฑลอานฮุย สาธารณรัฐประชาชนจีน ... ที่สระน้ำมีมังกรพ่นน้ำประดับอยู่ สื่อให้เห็นถึงพลังอำนาจของมังกรตามความเชื่อของชาวจีน

สำนักชีฉีหลิน เป็นกลุ่มอารามขนาดใหญ่ที่มีสถาปัตยกรรมไม้ที่งดงาม โดยเริ่มก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1934 และก่อนจะได้รับการบูรณะใหม่ในรูปแบบของราชวงศ์ถัง (ในยุค ค.ศ 618–907) ในปี ค.ศ. 1990 ภายในยังเก็บพระบรมสารีริกธาตุและมีสระบัวที่ให้ความสงบ แก่ดวงวิญญาณ นอกจากนี้ สำนักชีแห่งนี้ยังประกอบไปด้วยโถงอารามหลายโถง บางโถงมีรูปปั้นทอง ดินเหนียว และไม้ เป็นตัวแทนของสิ่่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระศากยมุนี และ พระโพธิสัตว์

บริเวณภายในสวยงามมากและห้ามถ่ายภาพ และวันนี้ได้มีโอกาสพบเห็นแม่ชีภายในสำนักอีกด้วย .. มีศาลาหรือวิหารรายรอบอยู่ 13 หลัง ที่ได้ออกแบบจัดวางไว้ให้มีความสมดุลกันอย่างลงตัว แต่ละหลังจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ .. ตรงกลางลานมีโคม ไฟสำริดตั้งอยู่

มีเสาหินอ่อนแกะสลักเป็นพระพุทธรูปองค์ต่างๆ อาทิ พระศากยมุนี ที่พระอารามหลังใหญ่, พระโพธิสัตว์ เป็นต้น ซึ่งภายในสำนักดูเงียบสงบ ไม่มีสิ่งสักการะจำพวก ธูป เทียน จำหน่ายเรียกเงินจากนักท่องเที่ยว อีกทั้งสำนักแห่งนี้และสวนสวย ยังเปิดให้เข้าชม ฟรีทุกวัน (ปิดเฉพาะวันพุธ) ตั้งแต่เวลา 9:00-16:30 น. 

จึงเป็นสถานที่ที่ห้ามพลาด โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยมา หรือมาท่องเที่ยวฮ่องกงในครั้งแรก

เที่ยวเพลินจนลืมไปว่า วันนี้ทานแค่กาแฟและขนม โดยยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันเลย จึงรีบเดินทางต่อไปยังจุดหมายถัดไป ซึ่งเป็นจุดช๊อปปิ้งสุดหรู ซึ่งมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายภาพกัน แต่ก็ต้องเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน MTR กันต่อไปยัง Tsim Sha Tsui

แวะพักทาน อุด้งร้อนๆ ใส่พริกป่นเผ็ดๆ เหมือนจะขาดรสเผ็ดมาหลายมื้อ กันที่ตึก ISQUARE

หลังจากมีเรี่ยวแรงในการไปถ่ายแบบกันต่อที่ 1881 HERITAGE แหล่งช้อปปิ้งระดับ World Class ซึ่งแปรสภาพจาก กองบัญชาการตำรวจน้ำ (Hong Kong Marine Police) มาเป็นสถานที่ในบรรยากาศย้อนยุคสมัยวิคทอเรียน "Victorian" (ค.ศ. 1880-1996)

ภายในมีร้านสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ มากมาย แต่ขอชื่นชมในความสวยงามของสถาปัตยกรรม

ไม่แปลกใจที่จะมีคู่บ่าวสาว ถึง 2 คู่ มาถ่ายภาพบาดใจ (เราคิดอะไรออกไป) ... ถ่ายภาพประทับใจอย่างสวยงาม

มีนาฬิกาลูกบอล (Time Ball) ซึ่งได้สร้างเลียนแบบของดั้งเดิมที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1885 ซึ่งลูกบอลจะขึ้นและลงในเวลา 13:00 น เพื่อให้คนเดินเรือสามารถเทียบเวลาได้ ... จากนั้น ก็ต้องเดินต่อไปอีกเล็กน้อย ซึ่งค่ำวันนี้ตั้งใจจะมาชมการแสดงของ "A Symphony of Lights" บริเวณริมอ่าววิคตอเรีย เป็นการแสดงแสงสีเสียงยามค่ำคืนชุด "อะ ซิมโฟนี่ ออฟ ไลท์" ซึ่งใช้อาคารต่างๆกว่า 40 แห่งบนสองฝั่งของอ่าวเป็นเวทีการแสดง

แต่ในค่ำคืนวันนี้ ทัศนวิสัยไม่ดีนัก มีหมอกหนาปกคลุม แต่ก็ด้วยความตั้งใจและถือโอกาสมานั่งโต้ลมหนาวริมอ่าววิคตอเรีย (Victoria Bay) ก็แล้วกัน

จะมีการแสดงในเวลา 20.00 น. ทุกวัน ใช้เวลาในการแสดง 13 นาที หากมีการเตือนภัยพายุไซโคลนความรุนแรงระดับ 3 หรือมากกว่า หรือการเตือนภัยพายุฝนสีแดง/สีดำในเวลาบ่าย 3 โมงหรือหลังจากนั้น การแสดงในวันนั้นจะถูกระงับ จะไม่มีการแสดงแม้ ว่าการเตือนภัยจะถูกยกเลิกก่อนเวลา 20:00 น. ของวันนั้น การแสดงอาจถูกยกเลิกด้วยเหตุฉุกเฉินโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า

อย่างไรก็ตาม แนะนำให้มาจับจองที่นั่งก่อนเวลาแสดงประมาณ 30 นาที เพราะจะมีผู้คนมาจับจองที่นั่ง (พื้นหรือต่อม่อบริเวณท่าเรือ) กันมากมาย แต่เหนือความคาดหมาย คือ มีเรือสำเภาจีนพร้อมใบเรือสีแดง แล่นเข้ามาใกล้ๆ เพื่อมารับนักท่องเที่ยว

จึงถือโอกาสเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกซักหลายๆ แช๊ะ! ถือเป็นการชดเชยที่วันนี้ชมการแสดงแบบขมุกขมัว เห็นแสงเลเซอร์เพียงเล็กน้อย แถมอากาศที่หนาวเย็นเพราะมีฝนปรอยๆ ตลอดทั้งวัน

ก็ได้เวลากลับไปที่โรงแรม แวะทานก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาหมึกร้อนๆ สักชาม พร้อมชาร้อน ก่อนเดินไปช้อปปิ้งแถว Temple Street ... ไม่ผิดหวังเลยที่เลือกพักย่านนี้ เพราะมีอาหารอร่อยให้ได้แวะเติมลงในพุงได้ง่ายๆ และยังได้ชมสีสันยามค่ำคืนอีกด้วย ไว้วันพรุ่งนี้จะไปทำความรู้จักกับฮ่องกงในแบบที่ไม่ได้มีแต่ตึกสูง ลองไปเที่ยวแบบชนบทของฮ่องกงกันบ้าง ไว้มาติดตามกันต่อในตอนต่อไปนะ

Photography : Samsung Galaxy S6 (Mobile Phone)