Disable Preloader




ฮ่องกง ใครๆ ก็ไปเที่ยวเองได้ง่ายๆ สะดวกสบายสุดๆ : ตอนที่ 3

เช้าวันนี้ปลอดฝนตามพยากรณ์อากาศที่เปิดดูจาก Tablet เมื่อวานนี้ หลังจากที่เจอฝนพรำบางช่วงเวลาตลอด 3 วันที่ผ่านมาในฮ่องกง ทำให้ต้องมีการสลับแผนที่วางไว้บ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ยุ่งยากแต่อย่างใด จึงเป็นความสนุกอย่างหนึ่งของการเที่ยวเอง ที่ต้องหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ เอง

หลังจากออกจากโรงแรม เพื่อเดินทางจากสถานี Jordan ไปยังสถานี Central ซึ่งตั้งใจจะไปทานโจ๊กร้านดังในฝั่งฮ่องกง แต่ทว่า Google Maps ทำพิษซะแล้ว ดันพาไปที่ร้านห่างย่างชื่อดังแทนที่จะเป็นร้านโจ๊ก คงเป็นเพราะมีคนมาปักหมุดไว้ผิดแน่ๆ แต่หลังจากดูเวลาของตารางการเดินเรือ Ferry ไปยังเกาะลัมมา (Lamma Island) ทำให้เปลี่ยนใจไปหาอาหารเช้าทานแบบง่ายๆ ดีกว่า ซึ่งถ้าพลาดรอบของเรือเวลา 10:10 น. จะต้องรออีกเกือบหนึ่งชั่วโมง นั่นหมายถึงเราจะมีเวลาเที่ยวที่เกาะลัมมาน้อยลงไปด้วย

เมื่อทานแซลมอนเบอร์เกอร์กับกาแฟร้อนที่ IFC Mall เรียบร้อยแล้ว ก็รีบเดินต่อไปยัง Central Pier ซึ่งเป็นท่าเรือหลักในฝั่งเกาะฮ่องกง และเดินตรงไปยัง Pier หมายเลข 4 ทางซ้ายมือ

สำหรับตารางเดินเรือสามารถเปิดได้จาก App ชื่อ HK Ferry เราเลือกการเดินทางจาก Central ไปยัง Yung Shue Wan ซึ่งเป็นท่าเรือหนึ่งของเกาะลัมมาและอยู่ทางเหนือของเกาะ โดยเกาะแห่งนี้ยังมีท่าเรืออีกแห่งอยู่ทางใต้ของเกาะ สำหรับผู้ที่วางแผนมาเที่ยว สามารถมาได้ทั้ง 2 ท่าเรือ และมีเส้นทางเดินเท้าถึงกันได้ ซึ่งมีจุดที่น่าสนใจ เช่น กังหันลม (Lamma Winds), ชายหาด Hung Shing Ye, เส้นทางเดิน Ling Kok Shan Hiking Trail เป็นต้น

เมื่อถึงเวลาลงเรือ Ferry ก็เดินไปนั่งในท้ายเรือเพื่อจับจองที่นั่งภายนอก จะได้เก็บบันทึกภาพได้สะดวก แต่ก็มีที่นั่งภายในซึ่งเปิดแอร์เย็นสบาย นั่งไปไม่นานจะเริ่มออกห่างจากวิวตึกสูงของเมือง และเริ่มเห็นเกาะต่างๆ ใหญ่น้อย ถือเป็นอีกอารมณ์ของการมาท่องเที่ยวฮ่องกง เพื่อหนีความวุ่นวาย หนีความเจริญ เหมือนได้ไปเที่ยวบ้านนอกของฮ่องกงดูบ้าง บรรยากาศจะคล้ายกับการนั่งเรือ Ferry ไป มาเก๊า (Macao) แต่ทว่าเราใช้เวลาเพียง 30 นาที ก็เดินทางมาถึงเกาะลัมมา

ไม่นานนักเรือก็มาถึงยังท่าเรือ Yung Shue Wan บรรยากาศก็ครึ้มๆ สลับกับมีแดดบ้าง ซึ่งก็ดีเพราะอากาศเย็นสบาย มองเห็นตึกรามบ้านช่องเรียงราย และจักรยานที่จอดอยู่นับร้อยคัน ซึ่งน่าจะเป็นยานพาหนะหลักของชาวลัมมา

ความรู้สึกเหมือนกำลังมาเที่ยวเมืองตากอากาศริมทะเล ผสมกับหมู่บ้านชาวประมง และความตั้งใจของวันนี้จะเริ่มจากจุดที่ 1 เดินไปยัง จุดที่ 2 และ 3

จากท่าเรือจะมองเห็นโรงไฟฟ้าที่ตั้งอยู่บนเกาะอยู่ตรงข้าม แล้วได้พบกับเจ้าแมวเหมียวตัวอ้วน ที่เดินมาทักทายเหมือนจะบอกพวกเราว่า "ยินดีต้อนรับสู่เกาะลัมมา .. เที่ยวให้สนุกนะ"

ทำให้นึกถึงเกาะแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ที่มีชื่อว่า เกาะอาโอชิมะ จังหวัดมิยาซากิ ที่มีชื่อเรียกว่า "เกาะแมวเหมียว" แต่สำหรับที่นี่ได้เจอแมวเพียงตัวเดียว

แต่ก็เข้ามาคลอเคลียราวกับรู้จักกันมาก่อนซะงั้น แต่ก็ดีใจที่ได้เจอะกันนะ และก็ต้องจากลากันเพื่อไปเดินเที่ยวในเกาะ

เจอเข้ากับร้านขายติ่มซำ ขนมจีบซาลาเปา ขอแวะนั่งพักเติมพลังซักหน่อย จิบน้ำชาร้อนๆ ก่อนเดินเท้าเข้าสำรวจเกาะราวกับเป็นนักผจญภัย ซึ่งก่อนเดินทางมาก็พยายามหาข้อมูลการท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ค่อยมีข้อมูลนัก จึงต้องมาลุยเองเพื่อเป็นข้อมูลมาเขียนรีวิวเอง .. เริ่มจากมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายขนม รวมไปถึงโรงแรมที่เรียงรายตามทางเดิน

แต่เมื่อเริ่มเดินลึกเข้าไป จะพบกับบ้านเรือนของชาวลัมมา และจุดหนึ่งที่ตั้งใจมาเที่ยวเกาะแห่งนี้ เพราะเป็นบ้านเกิดของดาราฮ่องกงที่เชื่อว่า หากเอ่ยชื่อแล้ว ต้องรู้จักอย่างแน่นอน นั่นก็คือ "โจว เหวินฟะ" (Chow Yun Fat) ที่ได้รู้จักครั้งแรกจากละครโทรทัศน์เรื่อง "เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้" นั่นเอง

บ้านเรือนบนเกาะลัมมา มีสไตล์ที่หลากหลาย แต่ที่ชื่นชอบคือ มีสวนสวยๆ หน้าบ้าน อยู่กลมกลืนกับธรรมชาติได้ดี

ไม่แปลกใจที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวจีน และนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ ก็สนุกกับการถ่ายภาพเก็บบรรยากาศแบบนี้

เรียกได้ว่ายังมีความเป็นธรรมชาติ เหมือนคนกับป่าอยู่ร่วมกันได้อย่างดี

ไม่นานนักก็เดินมาถึงชายหาด Hung Shing Ye แม้ว่าจะเป็นชายหาดที่อาจมีความงามสู้กับบ้านเราไม่ได้ แต่ทว่า ลมทะเลทีพัดเข้ามานั้นเป็นลมหนาว และมองเห็นเมฆลอยต่ำเหนือเทือกเขาตรงนั้น ซึ่งหาดแห่งนี้เป็นที่นิยมของชาวฮ่องกง ที่มาปิ้งบาร์บีคิวกัน จำได้ว่าเคยดูจากละครทีวีฮ่องกงบางเรื่องที่มาถ่ายทำที่ชายหาดแห่งนี้ด้วย

ด้วยความโชคดีที่มาเจองานพิธีแต่งงานที่ชายหาดนี้พอดี สร้างความคึกคักไปทั่วบริเวณ เราจึงขอทำตัวเป็นแขกไม่ได้รับเชิญ เก็บบันทึกภาพประทับใจมาไว้

แต่ก็ชอบในความสงบ และสะอาดของชายหาดที่ได้รับการดูแลอย่างดี เป็นแหล่งพักผ่อนของชาวฮ่องกงในวันหยุดได้อย่างดี ขนาดนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเรา ยังนั่งพักผ่อนไม่ยอมไปไหนกว่า 2 ชั่วโมง เพราะลมทะเลที่เย็นสบาย ได้สูดอากาศที่สดชื่นเต็มปอด สมที่ได้หนีร้อนช่วงสงกรานต์บ้านเรา เพื่อมาโต้ลมหนาวบ้านเขา

เกาะแห่งนี้มีหมู่บ้านชาวประมง และคนฮ่องกงเองก็มาท่องเที่ยวเพื่อรับประทานอาหารทะเลสดๆ กัน แต่ก็สดเกินสำหรับเราที่จะต้องเดินไปชี้ว่าต้องการปลาตัวไหน เพื่อนึ่งซีอิ้วมาลงจาน จึงขอยอมหิ้วท้องกลับไปทานอาหารที่ฝั่งเกาะฮ่องกงดีกว่า

เก็บความประทับใจกลับไป ซึ่งเสียดายที่ตั้งใจจะเดินไปถึง กังหันลม (Lamma Winds) แต่ต้องเดินไปไกลพอควร จึงเปลี่ยนใจนั่งเรือ Ferry กลับ เพราะเรายังมีโปรแกรมที่ The Peak ในเย็นวันนี้อีก ขอแนะนำให้วางแผนเวลากลับว่าจะต้องขึ้นเรือในเวลาใด ซึ่งเปิดดูจาก App ชื่อ HK Ferry และกำหนดเวลากลับไว้ตั้งแต่มาถึงจะดีที่สุด เพราะการเดินเท้าภายในเกาะ บางช่วงจะเหมือนการเดินลาดเอียงขึ้นเขา เดินไปพักไป ทำให้ต้องใช้เวลาเดินพอสมควร

ไม่นานนักก็กลับมาสู่ตึกสูงระฟ้า ความคึกคักของฮ่องกงที่คุ้นเคยอีกครั้ง หากมีเวลาที่มาเที่ยวฮ่องกงประมาณ 4-5 วัน ก็อยากให้ลองหาโอกาสนั่งเรือไปเที่ยวยังเกาะใกล้ๆ แบบนี้ดูบ้าง เพื่อเป็นการพักผ่อนอีกบรรยากาศ และยังมีอีกแห่งที่อยากหาโอกาสไปเดิน นั่นก็คือ "เขาหลังมังกร" (Dragon's Back) ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะฮ่องกง และยังมีเส้นทางธรรมชาติอีกหลายแห่ง 

ที่สำคัญคือ Have fun! เที่ยวให้เต็มที่ สนุกให้เต็มที่ แต่ก็เดินทางได้อย่างสะดวกสบาย เพราะเป็นเมืองสำหรับการท่องเที่ยวอย่างแท้จริงซึ่งบ้านเราควรปรับปรุงในเรื่องเหล่านี้ เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวของเรา

หลังจากกลับมาถึง Pier หมายเลข 4 แล้ว ตามแผนทีวางไว้ คือ เดินมานั่งรถบัสสาย 15C เพื่อไปยังจุดขึ้นรถราง The Peak Tram ซึ่งการวางแผนเที่ยวไว้ล่วงหน้าจึงมีความสำคัญ ควรให้การเดินทางมีความต่อเนื่อง ไม่มีการย้อนไปมา ช่วยให้ประหยัดเวลา และประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีกด้วย

ซึ่งวันนี้เป็นวันเสาร์ ทำใจไว้แล้วว่าคนขึ้นรถราง The Peak Tram เยอะแน่ๆ ซึ่งแผนที่วางไว้จะมาเมื่อวานซึ่งเป็นวันศุกร์ แต่ทว่าฝนตกทั้งวันจึงต้องสลับวันท่องเที่ยว จึงต้องมาเดินเข้าแถวยาวขดไปมา รอคิวนานกว่า 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่ยอมรับว่าการบริหารจัดการได้ดีพอสมควร ซึ่งแถวก็เลื่อนไปเรื่อยๆ 

ในที่สุดก็ได้ขึ้นรถราง The Peak Tram ซึ่งเมือหลายปีก่อนก็ขึ้นไปบน The Peak ด้วยรถเมล์สาย 15 ท่ามกลางอากาศหนาวและถนนที่คดเคี้ยว ... สำหรับบัตรขึ้นรถรางนั้น ก็ซื้อผ่าน Agency ในเมืองไทยมาก่อนแล้ว แต่ความจริงแล้วมาซื้อที่นี่ได้สบายเพราะยังไงก็ต้องต่อแถวอยู่ดี ซึ่งต่างจากกระเช้านองปิง 360 ที่จะมีแถวพิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อตั๋วล่วงหน้า เพื่อรวดเร็วกว่าการมาเข้าแถวรอซื้อตั๋ว

เย็นวันนี้มีหมอกค่อนข้างเยอะ แต่ก็ยังดีที่ไม่มีฝนเหมือน 3 วันที่ผ่านมา ทำให้ยังพอได้เห็นภาพตึกระหว่างที่รถรางไต่ความสูงขึ้นไปเรื่อยๆ และคุ้มค่ากับการเดินทางด้วยรถรางนี้ ซึ่งมีประวัติยาวนานมากกว่า 120 ปี ซึ่งมีการก่อสร้างรถรางสายนี้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888

ซื้อตั๋ว The Peak Tram พ่วงกับตั๋วที่ผ่านไปชม Sky Terrace 428 ซึ่งเป็นดาดฟ้าชมวิว แต่ทว่าวันนี้เสียดายมากๆ ที่เมฆหมอกหนาลอยผ่านตลอดเวลา จึงทำให้มองไม่เห็นวิวตึกสูงแบบสดใส

แต่ดีใจที่ดำเนินการได้ครบตามแผนการเดินทางที่วางไว้ของวันที่สี่ และการนั่งรถรางขึ้น-ลงนั้น สบายกว่าการนั่งรถบัสสาย 15 ซึ่งคดเคี้ยวทำเอาวิงเวียนศีรษะเหมือนกัน

หลังจากนั่งรถรางลงมาแล้ว ก็ขึ้นรถบัสสาย 15C และลงรถที่บริเวณสถานี Central เพื่อนั่งรถไฟใต้ตินกลับมายังสถานี Jordan และไปรับประทานก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาหมึก ก่อนกลับไปพักที่โรงแรมที่อยู่ใกล้ เป็นอีกวันที่เดินราว 6 ก.ม. นั่งเรืออีก 36 ก.ม. ซึ่งเป็นข้อมูลจาก Timeline ใน Google Maps ที่เป็นผู้ช่วยบันทึกการเดินทางได้ดี ทุกวันนี้จึงปฏิเสธไม่ได้ที่เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ยิ่งทำให้สนุกในการท่องเที่ยวอีกด้วย จึงจำเป็นต้องมีสัญญานอินเตอร์เน็ตตลอดเวลา ซึ่งตอนต่อไปจะมาแนะนำเกี่ยวกับ SIM สำหรับโทรศัพท์มือถือ รวมทั้งพาเที่ยวต่ออีกตอน ก่อนปิดทริปฮ่องกง ไว้มาติดตามกันต่อเร็วๆ นี้

Photography : Samsung Galaxy S6 (Mobile Phone)