ยังเหลืออีกหนึ่งวันเต็มสำหรับทริปท่องเที่ยวฮ่องกงครั้งนี้ ก่อนเดินทางกลับในเที่ยวบินตอนค่ำ แต่ก่อนจะเช็คเอ๊าท์ในเช้านี้เราขอออกไปทานอาหารเช้าแถวสถานี MTR Mong Kok โดยนั่งรถไฟใต้ดินไปเพียง 2 สถานี ซึ่งเมื่อคืนค้นหาจาก google และเจอร้านโจ๊กแถวนั้น แต่ทว่ามาถึงเพิ่มเห็นว่าร้านปิดวันอาทิตย์ อดตามระเบียบแต่ก็ไม่เป็นไร มองหาร้านอาหารอื่นแถวนั้นแทน จึงเปลี่ยนมาลิ้มลองอาหารเช้าซึ่งเป็นหมี่ผัด ไม่ได้ใส่เนื้อสัตว์ใดๆ แต่ทว่ารสชาติอร่อยดีจัง และข้าวเหนียวม้วนหมูหยองกับปาท่องโก๋ ปิดท้ายด้วย ทาร์ตไข่ ซื้อจากร้านขนมข้างๆ อิ่มและมีพลังสำหรับการเดินในเช้าวันนี้แล้ว จากนั้นก็นั่งรถไฟใต้ดินกลับมายังสถานี Jordan เพื่อกลับเข้าไปนำกระเป๋าเดินทาง และเช็คเอ้าท์ในเช้านี้ แต่ทว่าจะลากกระเป๋าไปเที่ยวด้วยทั้งวันคงจะแย่แน่ๆ
แต่ฮ่องกงมีสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวอย่างมาก ก็คือ In-town Check-in เราแค่ลากกระเป๋าเดินทางเพื่อนั่งรถไฟใต้ดินมาที่ สถานี Hong Kong (หรืออีกจุดคือ สถานี Kowloon) แล้วไปดำเนินการเช็คอินได้ทันที อีกอย่างคือ เราวางแผนว่าจะเดินทางไปสนามบินตอนค่ำด้วย Airport Express จึงซื้อตั๋วแบบ Group of 2 - Single Journey ไว้ตั้งแต่ตอนนี้ (บางท่านอาจถามว่า ทำไมไม่ซื้อแบบ Round Trip เพราะเดินทางไปกลับสนามบินด้วย Airport Express ซึ่งถูกกว่าซื้อแยก คำตอบคือ เนื่องจากขามาลงที่สถานี Kowloon แต่ขากลับขึ้นจากสถานี Hong Kong จึงต้องซื้อแยกเป็น 2 เที่ยว)
ซึ่งมีหลายสายการบินโดยเฉพาะสำหรับสายการบินแบบ Full Service ทั้งโหลดกระเป๋าเหมือนกับที่เราดำเนินการที่สนามบินและได้รับ Boarding Pass เพื่อถือไว้ขึ้นเครื่องบินตอนหัวค่ำ หมดภาระเรื่องกระเป๋าเดินทางไปได้เลย เที่ยวได้สบายใจ สมแล้วที่เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ต้องคิดถึงรายละเอียดแบบนี้อย่างเป็นระบบ ซึ่งเคยได้ยินว่า สถานี Airport Rail Link มักกะสัน เราเคยทำ แต่เหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จ และน่าเสียดายจริงๆ
แค่นี้เราก็เดินตัวเบาท่องเที่ยวในฮ่องกงได้อย่างสบายใจ และแผนการท่องเที่ยวสำหรับวันนี้ คือ อยากไปขึ้นบันไดเลื่อน (Central Mid-Levels Escalators) นั่นเอง ซึ่งตั้งใจจะขึ้นไปให้ถึงบนสุดระยะทางยาวกว่า 800 เมตร และถูกบันทึกไว้โดย Guinness World Records ว่าเป็นบันไดเลื่อนที่ยาวที่สุดในโลก โดยเดินจากทางออก MTR Central Exit D2 เดินไปตามถนน Queen’s Road Central มีป้ายบอกไปตลอดทาง จุดสังเกตจะเห็นร้าน H&M มีป้ายร้านขนาดใหญ่ให้เดินตรงไปอีกประมาณ 80 เมตรจะเห็นทางขึ้น
ตลอดสองข้างทางก็จะมีร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ รวมไปถึง ห้องพัก ห้องเช่า เต็มสองข้างทาง ซึ่งใครอยากแวะจุดไหน ก็สามารถออกจากระบบบันไดเลื่อน แล้วเดินเข้าไปยังร้านค้าต่างๆ ได้เลย
บันไดเลื่อนแห่งนี้ได้เปิดให้บริการในปี ค.ศ. 1993 โดยเชื่อมถนน Queen’s Road Central เข้ากับถนน Conduit Road (Mid-Levels) จำนวนคนที่ใช้งานบันไดเลื่อนนี้เฉลี่ยที่ 55,000 คน/วัน ซึ่งบันไดแห่งนี้จะแบ่งเป็นรอบโดย เวลา 06.00-10.00 น. บันไดเลื่อนจะเลื่อนลง และเวลา 10.30 – 24.00 น. จะเป็นการเลื่อนขึ้น ยังเจอเข้ากับตู้ MTR Fare Saver ซึ่งใครเดินผ่านก็นำบัตร Octopus มาแตะ เพื่อเป็นส่วนลด HK$ 2 ในการใช้บริการรถไฟใต้ดิน MTR นั่นเอง ถือเป็นการเชิญชวนให้มายัง Mid-Levels นั่นเอง หรือชาวฮ่องกงที่พักอาศัยอยู่แถวนี้ คงเดินแตะบัตรกันทุกวัน เพราะได้ส่วนลดการเดินทางนั่นเอง
ถือโอกาสแวะซื้อ Dark Chocolate และนั่งจิบกาแฟที่ร้าน M&S หรือ Marks & Spencer นั่นเอง ได้เจอกับนักท่องเที่ยวชาวสก๊อตแลนด์จิบกาแฟข้างๆ ซึ่งเขามาเที่ยวฮ่องกงด้วยเรือสำราญ ที่มาจอดแวะพัก และยังมีจุดหมายที่ พัทยา บ้านเราอีกด้วย แต่ก็ถือโอกาสแนะนำให้เข้าไปเที่ยวทะเลฝั่งอันดามัน อย่างที่ กระบี่ และ ภูเก็ต อีกด้วย
ได้คาเฟอีนเติมความสดชื่นแล้ว ก็ได้เวลาเดินขึ้นบันไดเลื่อนต่อไปถึงสุดทาง และจากนั้นก็เดินเท้าต่อไปถนนเพื่อเดินลงมายังถนน Queen’s Road Central แต่ทว่ามีจุดหมายระหว่างทางคือ PMQ
เดินได้สบายเพราะเป็นการเดินลงเนินเขานั่นเอง ระหว่างทางก็ชมบรรยากาศบ้านและร้านค้าที่ตั้งอยู่เชิงเขาของเกาะฮ่องกง เมฆฝนลอยต่ำปกคลุมยอดตึกสูง อากาศกำลังสบายกลางเดือนเมษายนเช่นนี้ รวมทั้งได้มุมถ่ายภาพที่มีฉากหลังเป็นตึกสูงๆ แบบนี้อีกด้วย
ไม่นานนัก ก็มาถึงจุดหมาย คือ PMQ ซึ่งเป็นแหล่งรวมหรือศูนย์กลางศิลปะของการออกแบบสร้างสรรค์ของฮ่องกง กว่า 100 ผู้ประกอบการด้านการออกแบบ มาตั้งสำนักงานหรือโชว์รูมที่นี่ มีทั้งแฟชั่น, เฟอร์นิเจอร์ที่มีดีไซน์, แกลลอรี่ รวมไปถึงร้านอาหาร ร้านกาแฟ จึงเป็นสถานที่นัดพบแบบแนวๆ อีกแห่งของฮ่องกง
ในอดีตสถานที่แห่งนี้ ในปี ค.ศ. 1862 อาคารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเป็น Central School โรงเรียนรัฐบาลแห่งแรกในฮ่องกงที่มีการสอนเนื้อหาแบบตะวันตก ก่อนที่โรงเรียนจะย้ายไปอยู่ที่อื่น ตึกนี้จึงไม่มีการใช้งานและได้รับความเสียหายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง แต่พื้นที่ก็ได้รับการบูรณะให้กลายเป็นอาคารที่พักสำหรับตำรวจที่แต่งงานแล้ว
ที่เป็นที่มาของชื่อ PMQ ซึ่งย่อมาจาก Police Married Quarters แต่ก็ถูกทิ้งร้างให้ว่างเปล่าในเวลาต่อมา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2009 ตึกนี้ได้รับการรับเลือกโดย Development Bureau ของรัฐบาลให้เป็น 1 ใน 8 สถานที่ในโครงการ Conserving Central ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาย่าน Central ย่านธุรกิจของฮ่องกง ซึ่งเป็นการดีที่นำสิ่งที่มีกลับมาปัดฝุ่น ปรับปรุงให้ทันสมัยแทนการทุบทิ้งสร้างใหม่ ซึ่งต่างจากแนวคิดบ้านเราที่ชอบทุบแล้วสร้างใหม่
เป้าหมายของ PMQ คือ การเป็นแลนด์มาร์กของอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อพาร์ตเมนต์เก่าจึงได้กลายเป็นแหล่งรวมของห้างร้านมากกว่า 100 ร้าน เมื่อเพิ่มเติมต้นไม้เข้าไป ตกแต่งใหม่ในสไตล์ Loft โชว์โครงสร้าง และทำให้ดูโปร่งโล่ง ก็กลายเป็นสถาปัตยกรรมทันสมัยขึ้นมาทันที ... มองเห็นตึกสูงๆ อยู่โดยรอบ ถือโอกาสมานั่งพักที่นี่นานพอควร พักขาที่เดินลงเนินเขาทำเอาเมื่อยได้เหมือนกัน
จากนั้นก็เดินเท้ากันต่อเพื่อไปหาอะไรอร่อยๆ ใส่ลงท้องกัน มาเที่ยวฮ่องกงทั้งที เมืองสวรรค์ของนักกินจริงๆ
เราจึงเดินตรงมายังร้านห่านย่าง Lung Kee ซึ่งเดินผ่านไปเมื่อตอนเช้าแล้วเล็งไว้สำหรับมื้อเย็น และก็ไม่ผิดหวังเลย อร่อยและราคาไม่แพงด้วย
อิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินย่อยแถบ Queen's Road Central แถวนี้คนเยอะมาก คงเป็นเพราะตรงกับวันอาทิตย์ และมีสถานีรถไฟใต้ดิน MTR Central ด้วย
เจอรถซุปเปอร์คาร์ในฝันสีเขียวนามว่า "Lamborghini Huracan" แล่นผ่านมา เสียงเครื่องยนต์ช่างเร้าใจจริงๆ
ทริปนี้ไม่มีเวลามานั่งรถราง แต่เมื่อหลายปีก่อนได้มีโอกาสมานั้นและได้เขียนเอนทรีไว้ ลองกดลิงค์เพื่ออ่านและดูภาพได้ที่ พาไปนั่งรถราง 2 ชั้น มันส์ดี สุดเก๋ากว่า 100 ปี ที่ฮ่องกง
เจอเข้ากับรถรางขบวนนี้พอดี คงเป็นรถรางสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะสังเกตว่ามีแต่นักท่องเที่ยวฝรั่งเป็นจำนวนมากทั้งขบวน โบกไม้โบกมือ ยิ้มแย้มให้กัน
ถูกใจคนที่ชื่นชอบรถราง และรถไฟอย่างเราจริงๆ
ได้เวลาบอกลาที ไม่ใช่ลาก่อน ฮ่องกง อีกแล้ว ซึ่งต้องเดินมายังสถานี Hong Kong เพื่อนั่งรถ Airport Express ตรงไปยังสนามบิน
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขอเก็บภาพสวยๆ ด้วยโทรศัพท์มือถือกันอีกซักนิด
เพราะตลอด 3-4 วันที่แล้ว เจอฝนทุกวัน จึงไม่ได้มาถ่ายภาพแบบนี้ จึงถือเป็นภาพเก็บตกก่อนกลับบ้าน
เมืองท่องเที่ยวที่ไม่เคยหลับไหล เมืองแห่งสีสันยามราตรี
ต้องกลับมาอีกอย่างแน่นอน ยังติดใจห่านย่างและเกี้ยวกุ้งอยู่เสมอ รวมถึง ติ่มซำรสเด็ด อาหารทะเลสดๆ รสเลิศ และที่สำคัญ มีที่ให้ถ่ายรูปสวยๆ มากมาย
เดินมาแตะบัตร และเข้าไปนั่งในรถไฟ Airport Express เรียบร้อยแล้ว
นั่งรถไฟนานเพียง 24 นาที บนระยะทางประมาณ 35 กิโลเมตร ก็มาถึงสนามบิน Chek Lap Kok หรือ Hong Kong International Airport อย่างสะดวกสบาย
ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพราะว่าเราได้โหลดกระเป๋าและได้รับ Boarding Pass ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว เหลือแค่ช๊อปปิ้งของฝาก และผ่าน ตม. ของฮ่องกง ... ในอนาคตนักท่องเที่ยวก็อาจต้องพก Drone ติดตัวไปไว้ถ่ายภาพด้วยอย่างแน่นอน
แล้วขึ้นเครื่องรอกลับบ้านได้เลย จะเห็นได้ว่าฮ่องกงนั้น สะดวกสบายในการท่องเที่ยวมากๆ เนื่องจากเขาได้วางระบบไว้อย่างดีสำหรับนักท่องเที่ยว เพียงแค่เราวางแผนการท่องเที่ยวกับเวลาให้เหมาะสมเท่านั้น
ยังไงก็ยอมรับว่า บินมาฮ่องกงด้วย Emirates Airlines นั้น ดีจริงๆ ยิ่งช่วงโปรโมชั่น บินไป-กลับ เพียง 4,xxx บาท ซึ่งบินด้วยเครื่อง Airbus 380 ลำยักษ์, อาหารดีมีไวน์ให้ดื่ม แถมมี WIFI ให้เล่นบนเครื่องบินอีกด้วย
เพียง 2 ชั่วโมง ก็กลับมาถึงบ้านโดยสะดวกสบาย และปลอดภัยดี เก็บความประทับใจ และชาร์ตแบตให้ร่างกายไว้เต็มที่ ซึ่งสิ่งสำคัญที่ได้จากการท่องเที่ยว คือ ประสบการณ์ที่ดี ได้เรียนรู้อะไรใหม่เสมอ ดังนั้นเราจึงหาโอกาสไปท่องเที่ยวกันนะ ... จบบริบูรณ์
Camera : Samsung Galaxy S6