หลังจากอิ่มแปร้ด้วยมื้อค่ำแบบอิตาเลียนแท้ๆ ก็ได้เวลาเดินกลับที่พัก ระหว่างทางเดินจะได้สัมผัสบรรยากาศที่เห็น แสงไฟสลัวและแสงจากร้านอาหาร ท่ามกลางความหนาวเย็น
ระหว่างทางเดินเงียบมากๆ จนได้ยินเสียงน้ำไหลจากก๊อก เอ๊ะ! ใครมาเปิดก๊อกน้ำทิ้งไว้ แต่ความจริงแล้วเป็นก๊อกน้ำสาธารณะและเปิดให้ไหลแบบนี้ตลอดเวลา
นอกจากจะได้ความสว่างจากแสงไฟแล้ว ยังได้แสงจากพระจันทร์อีกทางหนึ่ง
ตามร้านค้าแม้จะปิดร้านแล้ว แต่เราก็สามารถมองผ่านกระจกได้ ไม่ว่าจะเป็นปากกา
แม้แต่ "ครั่ง" เพื่อใช้กับตราประทับ
ยังเดินผ่านมุมศิลปะ ซึ่งยื่นกล้องผ่านซี่ลูกกรงเข้าไปบันทึกภาพ ... สังเกตที่โคมไฟจะเป็นรูปแขนยื่นออกมา เก๋ซะไม่มี!
เดินผ่านตึกเก่าและมีงานศิลปกรรมอยู่ เหมือนกำลังเดินในหอศิลป์ท่ามกลางแสงจันทร์
แต่ละบ้านปิดเงียบ หากเดินคนเดียวราวกับกำลังเดินอยู่ในเมืองร้าง
เดินชมแสงที่ตกกระทบบนพื้นน้ำ ก็เพลิดเพลินไปอีกแบบ
นำชมบรรยากาศยามค่ำคืน ยังสามารถมองเห็นความงามของเมืองเวนิสได้อีกบรรยากาศ
ยังมีผู้คนที่เดินผ่านไปมา รู้จักกัน ทักทายกัน และยืนคุยกัน
กลับมาชมสินค้าผ่านหน้าต่างกระจกกันต่อ ... ตู้ที่เห็นนี้ เป็นตู้จำลองขนาดเล็กๆ ที่ย่อส่วนข้าวของต่างๆ ให้มีขนาดจิ๋ว หากมองกรอบรูปจะเห็นได้ว่า ขนาดใกล้เคียงกับกรอบรูปขนาดเล็ก
ร้านนี้ขายตุ๊กตาตั้งโชว์ สวยๆ ทั้งนั้น อยากได้ทั้งตู้เลย จึงจะสวยแบบนี้
รวมทั้งถุงมือหลากสี
รวมทั้งนาฬิกาสวยๆ ซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นแบรนด์ของอิตาลี ... อ้อ! ใช่เลย มองเห็นแผ่นโฆษณาข้างๆ เขียนไว้ว่า "Milano Italy"
ยังมีเรือกอนโดล่าให้บริการอยู่แถวหน้าโรงแรม
มองไปอีกฝั่งมีโบสถ์สวยมากๆ โดยเฉพาะแสงแบบนี้
เอาอีกแล้ว เขียนมาทั้ง 3 เอนทรี ก็ผ่านมายัง San Marco อีกแล้ว ... ถ้าบ้านเราคงจะเป็น "สยามสแควร์" เหมือนเป็นศูนย์กลางของเมืองเวนิส
ยังเพลินกับการถ่ายภาพสะท้อนน้ำ ยามค่ำคืนแบบนี้ ... น้ำนิ่งสงบ
ที่เห็นมีคลื่นแสดงว่ามีเรือผ่านมา
เดินผ่านโบสถ์อีกแห่ง แสดงว่าใกล้ถึงอพาร์ทเมนต์ที่พักแล้ว ... แค่เดินข้ามสะพานนี้อีก 2-3 เลี้ยวก็ถึงแล้ว
ขอนอนพักเติมพลังไว้พาเที่ยวต่อในวันพรุ่งนี้ ไว้มาติดตามกันต่อนะ