เช้าวันนี้เพื่อนๆ ช่วยกันเตรียมอาหารเช้าในครัว พร้อมทานอาหารเช้ากัน หลังจากเตรียมตัวเรียบร้อย ก็ได้เวลาสำรวจเมืองเวนิสอย่างเต็มที่ในวันนี้ ระหว่างทางเดินผ่าน "ร้านพิซซ่า" จึงขอนำภาพมายั่วน้ำลายเพื่อเรียกน้ำย่อย ก่อนพาไปชิมพิซซ่าต้นตำรับในมื้อกลางวัน
ระหว่างทางเดินจะเห็นได้ว่าเป็นตรอกซอกซอยขนาดเล็กๆ แถมยังมีธงหลากสี ... เอ๊ะ! ไม่ใช่ หลากหลายไซต์ ต้องเดินหลบให้ดี
ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินเที่ยวในเวนิส ที่ตรอกซอกซอยขนาดเล็ก เดินหลงได้ง่ายๆ ซึ่งวันนี้หากวัดเป็นระยะทางคงเดินไปกันหลายกิโลเมตร
ร้านที่พบเห็นได้มากมาย คือ ร้านขายหน้ากาก ซึ่งดั้งเดิมทำขึ้นเพื่องานคาร์นิวัล (Carnival) มีทั้งแบบกระเบื้อง, เปเปอร์มาเช และแม้กระทั่งหนัง
เทศกาลคาร์นิวัลมีความฟู่ฟ่าทั่วเมืองเป็นเวลา 10 วัน เป็นการนับถอยหลังสู่ฤดูถือบวช ถนนหนทางจะคับคั่งไปด้วยชาวเมืองสวมชุดแฟนซีและหน้ากาก หรือนักท่องเที่ยวที่แต่งตัวหลุดโลก งานเริ่มต้นด้วยการปล่อยนกพิราบและโปรยนกกระดาษจากหอระฆังในจตุรัสซานมาร์โก้ กระดาษหลากสีโปรยปรายลงมายังผู้ชม ปิดท้ายด้วยความยิ่งใหญ่ของขบวนแห่มาร์ดิกราส์ (Mardi Gras)
เดินผ่านร้านนี้เห็นช่างกำลังทำหน้ากากอยู่พอดี จึงขอซูมเข้าไปดูซักหน่อย ... แช๊ะ!
สังเกตหน้ากากรูปนกปากแหลมๆ นั้น มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์โรคระบาดครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 1348 ซึ่งแพทย์จะใส่หน้ากากนี้ในช่วงที่มีโรคระบาด และโรคระบาดครั้งนั้นทำให้ชาวเวนิสเสียชีวิตมากถึง 60% ของประชากรทั้งหมด
แม้แต่ที่จับประตูยังแอบศิลป์ เมืองนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของผู้ที่หลงไหลในงานศิลปะอย่างแน่นอน
ดูลายไม้และบานพับสุดสวยซะก่อน ... คิดได้ไงเนี่ย!
ระหว่างเดินไปมาก็จะข้ามสะพานเล็กๆ มองเห็นเรือโตโป ซึ่งเป็นเรือบรรทุกสินค้าที่ใช้กันแพร่หลาย ขนถ่ายทุกอย่างตั้งแต่เครื่องซักผ้าไปจนถึงขวดไวน์ มักจะมีรูปสลักหัวสุนัขบนหัวเรือ และในเวนิส ยังสามารถพบเห็นนกนางนวลได้บ่อยๆ ถือเป็นนักเก็บขยะโดยธรรมชาติ มักจะทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชมในบริเวณตลาด
รวมไปถึงเรือกอนโดลา ทรงเพรียวลมล่องไปตามลำคลองตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 11 แต่เริ่มมีรูปแบบสวยงามอย่างปัจจุบันเมื่อปลายทศวรรษที่ 1400 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีเรือกอนโดล่าเหลือเพียง 400 ลำ ขณะที่เมื่อปลายศตวรรษที่ 19 มีเรือมากถึง 10,000 ลำ
ระหว่างเดินเห็นบางร้านได้แสดงภาพเวนิสในอดีต จะมองเห็นหอระฆัง Campanile ที่จตุรัสซานมาร์โก้ (Piazza San Marco) พังลงมาในปี ค.ศ. 1902 และได้สร้างขึ้นใหม่อย่างยอดเยี่ยมตามแบบศตวรรษที่ 16 ซึ่งสามารถขึ้นลิฟท์ไปชมทัศนียภาพของเมืองและทะเลสาบ บนยอดหอระฆังสูง 98.5 เมตร
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง วันนี้เป็นวันพิเศษ กินเส้น กินแป้ง ไม่เกรงกลัวความอ้วน
อุตสาห์เดินทางไกล เพื่อมาลิ้มรสพิซซ่าเตาถ่านแป้งบางกรอบ พร้อมมะกอกสีดำ
วันนี้ไม่เกาเหลา ขอเส้นเยอะๆ ชีสเยอะๆ เดี๋ยวเดินไปในเวนิสก็เผาผลาญหมด คงเป็นเหตุผลที่เห็นสาวอิตาเลียนหุ่นดี ยืนหม่ำพิซซ่าเป็นถาดที่สถานีรถไฟ ... ใครกล่าวหาว่า กินพิซซ่าแล้วอ้วน ... ขอเถียง ไว้จะนำรูปมาให้ชม
หลังจากอิ่มเรียบร้อยแล้ว เข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว ขอแนะนำว่ารับประทานที่ไหน ควรใช้บริการห้องน้ำซะเลย ไม่เช่นนั้นต้องจ่ายตังส์ค่าห้องน้ำ ครั้งละ 1 - 1.5 ยูโร คิดเป็นเงินไทยก็ 45 -75 บาท ต่อครั้ง ... โอ้ว! แม่เจ้า
ระหว่างทางเดินจะมีจตุรัส เป็นที่โล่งและมักจะอยู่ติดกับโบสถ์ต่างๆ มีรถเข็นขายสินค้าที่ระลึก
มีมุมที่ให้ถ่ายภาพได้มากมาย ด้วยความชื่นชอบสถาปัตยกรรมที่เป็นอิฐสีแดง ดูดิบๆ แต่คลาสสิคดี
รวมไปถึงสถานที่แห่งนี้ เดาว่าน่าจะเป็นมหาวิทยาลัย เดินไปข้างในเห็นมีงานด้านศิลปะสมัยใหม่จัดแสดง แต่ได้ค้นจากเว็บดูแล้วได้ความว่า "University of Venice" ก่อตั้งในปี ค.ศ.1868 เปิดสอนอยู่ 4 คณะด้วยกัน
มีบันไดพาขึ้นไปข้างบน แต่ชอบอาคารข้างๆ ที่มีต้นไม้เกาะตามกำแพงแบบนั้น
มีมุมที่เป็นร้านกาแฟกลางแจ้ง
ซึ่งกิจกรรมหนึ่งที่ควรทำคือ นั่งหรือยืนจิบกาแฟ Lavazza ร้อนๆ รวมไปถึงเครื่องดื่ม Cocktail เย็นๆ ระหว่างเดิน ได้บรรยากาศ ... ชิลชิล
ในบริเวณนี้เหลือบไปเห็นดอกไม้ ซึ่งเดินเที่ยวในเมืองเวนิส มักจะเห็นตัวอาคาร และลำคลอง พอเห็นดอกไม้และธรรมชาติ ก็ช่วยสร้างสีสันบรรยากาศได้ดี
ในวันที่แดดแรงแบบนี้ ร้านกาแฟ จะมีคนมานั่งรับแดดกันท่ามกลางอากาศสบายๆ แต่ถ้าบ้านเรา ขออยู่ในร้านแอร์เย็นๆ
เพิ่งผ่านไปได้ครึ่งวัน สองเท้านี้ยังบอกว่า ส.บ.ม. แต่ถ้าเมื่อยจะนั่งพักแบบหนุ่มสาวคู่นี้ก็ได้
แม้แต่ราวสะพานก็ยังแอบศิลป์ ... ขออนุญาตเช็คสภาพเพื่อนๆ ร่วมก๊วนก่อนว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง
ขอฟ้องด้วยภาพก็แล้วกัน ... ไว้มาติดตามตอนต่อไป รับรองจะติดใจ