Disable Preloader




ร้อนนัก ไปพักร้อน : ตอนที่ 29 "ห้องรับแขกที่งดงามที่สุดในยุโรปที่ เวนิส"

หลังจากเดินโฉบจัตุรัสซานมาร์โก้ และหอระฆัง "Piazza San Marco" ไปมาหลายเอนทรี คราวนี้ต้องพามาเจาะลึกบริเวณแถวนี้กันซักหน่อย เป็นความงดงามและความมั่งคั่งที่ "นโปเลียน" ขนานนามว่าเป็น "ห้องรับแขกที่งดงามที่สุดแห่งยุโรป"

ด้วยสถาปัตยกรรมเก่าแก่โดยรอบ แต่ยังคงความงดงามคลาสสิคจริงๆ

ในบริเวณนี้มีร้าน Caffè Florian ที่มีชื่อเสียงว่า เป็นร้านกาแฟร้านแรกของยุโรป ซึ่งยังคงรักษารูปแบบดั้งเดิมของฝาผนังไม้ โต๊ะที่ด้านบนเป็นหินอ่อนและกระจกใส่กรอบเคลือบทอง

ได้ชมบรรยากาศการให้อาหารนกพิราบอย่างมีความสุข

ชอบสีสันของเก้าอี้แต่ละร้านค้า สีสันไม่ซ้ำกันเลย

ลองบันทึกภาพอีกมุมของหอระฆังดูบ้าง

ซึ่งจากจุดนี้ หากมองตรงไปจะเดินออกไปทางทะเลสาบ ตามมาซิจะพาเดินไป

มองเห็น "Piazzetta" จตุรัสเล็กหันหน้าไปทางทะเลสาบ เดิมเป็นอ่าวเล็กๆ สำหรับจอดเรือและรอรับแขกผู้มีเกียรติในยุครุ่งเรืองของเวนิส

ด้วยความงดงามของสถาปัตยกรรมสุดลูกหูลูกตาเลยก็ว่าได้

ซึ่งในตอนนี้ มีเรือกอนโดล่าจอดอยู่เรียงรายในมุมกล้องแบบนี้ อาจเป็นภาพที่คุ้นตาหากได้เคยดูหนังสือหรือเว็บไซต์ท่องเที่ยวมาก่อน

มองเห็นโบสถ์ที่อยู่ตรงข้ามชื่อว่า San Giorgio Maggiore ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ปัลลาดีโอ (ค.ศ. 1566-1610) ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากวิหารแบบกรีก ภายในมีภาพวาดเปี่ยมพลังของตินโตเรตโต จากปี ค.ศ. 1594 คือ ภาพ The Last Supper และ Gathering the Manna บนกำแพงใกล้แท่นบูชา แต่ถ้าได้มีโอกาสไปยืนบนหอระฆังนั้น จะมองเห็นทิวทัศน์ได้ทั่วเมืองเวนิส

มองย้อนกลับไป จะเห็นเสาหินแกรนิต 2 ต้น มีชื่อว่า "Columns of San Marco and San Teodoro"

(ซ้าย) "สิงโตมีปีก" เป็นสัญลักษณ์ของเวนิสเลยก็ว่าได้ (ขวา) "นักบุญ" สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1172

อาคารที่เห็นขวามือนั้น คือ วังผู้ครองนคร "Doge's Palace" เป็นการผสมผสานงานสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ กอทิก และเรอเนซองซ์ ได้อย่างงดงาม

เคยเป็นที่พำนักของผู้ครองแคว้นถึง 120 คน ตั้งแต่ปี ค.ศ. 679-1797 

อาคารที่คล้ายป้อมปราการตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่ในศตวรรษที่ 9 ถูกแทนที่ด้วยอาคารแบบกอทิกอย่างที่เห็นในปัจจุบัน แม้จะเกิดไฟไหม้หลายครั้งในช่วงทศวรรษ 1500 ศิลปินอย่างทิเชียน ตินโตเรตโต และ เบลลีนี ต่างประชันฝีมือตกแต่งวังด้วยงานจิตรกรรมและประติมากรรม

รวมถึงสถาปนิกอันโตนีโอ ริซโซ และ ปีเอโตร ลอมบาร์โด ที่รับผิดชอบการตกแต่งด้านหน้าอาคารทางตะวันตก

งดงามเหนือคำบรรยายจริงๆ ต้องฟ้องด้วยภาพก็แล้วกัน

เหมือนกำลังถูกล้อมรอบไปด้วยผลงานศิลปะชั้นยอดรอบตัวอยู่ในขณะนี้

แม้แต่หัวเสา ยังเป็นรูปสิงโตมีปีก

จากจุดนี้ หากมองตรงไปข้างหน้า จะมองเห็น "Torre dell' Orologio" ชื่นชมความมหัศจรรย์ของหอนาฬิกาสไตล์เรอเนซองซ์ ที่มีตุ๊กตาสำริดรูปแขกมัวร์ 2 ตัว ให้ค้อนทุบบอกเวลาอยู่บนระเบียงชั้นบน ในวันสำคัญของศาสนาคริสต์ จะมีขบวนแห่ออกมาทุกชั่วโมง เล่าลือกันว่า ช่างทำนาฬิกาถูกทำให้ตาบอดเพื่อไม่ให้ไปสร้างนาฬิกาแบบนี้อีก

เริ่มมืดแล้วได้เวลาไปรับประทานอาหารค่ำกัน สังเกตเห็นคนกำลังลากอะไรอยู่

แผ่นที่เห็น คือ "พื้นยกสูงเรียงเป็นทางเดินเวลาที่เกิดน้ำขึ้น" ถ้าเจ้าหน้าที่เขานำไปเก็บ ก็แสดงว่าน้ำไม่ท่วมแล้วในช่วงนี้ ด้วยความสงสัยว่า "จริงหรือไม่? ที่เวนิสกำลังจะจมน้ำ หรือเกิดน้ำท่วมบ่อยขึ้น"

จึงลองเปิด GPS ดู เลยได้ความกระจ่าง สังเกตได้ว่า จากจุดที่ยืนอยู่นี้ "ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 25.3 เมตร" และจากการศึกษาพบว่า ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นกับการทรุดตัวอย่างรวดเร็วจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลกและตะกอนอ่อนยวบที่อัดแน่นใต้อาคาร ทำให้ "เวนิส" กำลังจมลงเรื่อยๆ

ตามประวัติศาสตร์ของเวนิส กองไม้สนนับล้านๆ ต้นจากป่าบนเทือกเขาแอลป์ถูกฝังลงในฐานดินโคลนอัดแน่นเป็นเวลานานจนกลายเป็นหินไม่มีออกซิเจน จากนั้นก็วางซ้อนกันเป็นชั้นๆ ด้วยแผ่นไม้แนวนอนกับแผ่นหินอิสเตรียนที่คล้ายหินอ่อน ถูกใช้เป็นฐานรากของอาคารต่างๆ

ทะเลที่เห็นนี้ คือ ทะเลเอเดรียติค และมีชายหาดที่อยู่ใกล้เวนิสที่สุดอยู่บนเกาะลิโด ซึ่งชาวเมืองมักไปพักผ่อนในช่วงฤดูร้อน

ท้องฟ้ายิ่งมืดลง ยิ่งเห็นความงามสุดโรแมนติคของเมืองแห่งนี้

ต้องใช้โอกาสนี้ บันทึกภาพไว้เป็นที่ระลึกซักหน่อย แช๊ะ!

ชิดๆ กันหน่อย ลมพัดมาหนาวมาก ... แช๊ะ!

มาติดตามกันต่อนะ ยังเหลืออีกหลายๆ เอนทรี รับรองจะถูกใจ