หลังจากโผล่จากสถานีรถไฟใต้ดิน Colosseo Station ของ Rome Metro ก็ได้เห็นภาพความยิ่งใหญ่ของ โคลอสเซียม (Colosseum) ให้รู้สึกดีใจที่มาถึงกรุงโรมแล้ว และเหมือนได้ย้อนกลับไปในยุคโรมัน
แต่ก็ต้องรีบลากกระเป๋ากันต่ออีกประมาณ 500 เมตร เพื่อไปยังอพาร์ทเมนต์ที่เพื่อนติดต่อเช่าไว้ ให้ทันตามเวลานัดรับกุญแจ
ในที่สุดมาถึงอพาร์ทเมนต์ขนาดใหญ่มีอยู่หลายห้อง ซึ่งเราจะค้างที่แห่งนี้ถึง 3 คืน เมือจัดวางของแล้ว ก็ได้เวลาไปเดินหาร้านอาหารเย็นรับประทานกัน ก่อนอื่นผ่านร้านไอศกรีม (Gelato) ก็ขออร่อยกันหิวกันก่อน
จะได้มีแรงเดินหาร้านอาหารอร่อยๆ กัน
เมื่อทานอาหารกันเสร็จ ก็ขอเดินย่อยอาหารพร้อมกับเก็บบันทึกภาพยามค่ำคืน ซึ่งบรรยากาศเหมือนกำลังเดินอยู่ในโบราณสถานยังไงไม่รู้ ขืนเดินคนเดียวคงน่ากลัวพิลึก
ดีที่มีการจัดแสงไว้ ทำให้มองเห็น โคลอสเซียม ยามค่ำคืนได้อย่างงดงาม ยิ่งใหญ่อลังการ
ซึ่งในวันพรุ่งนี้ จะเป็นจุดหมายแรกของพวกเรา ที่จะเข้าไปเที่ยวชมภายในสถานที่แห่งนี้ แต่สำหรับคืนนี้ต้องขอนอนพักผ่อนสะสมแรงไว้เดินเที่ยวตลอดทั้งวัน
เช้าวันใหม่ แต่พวกเราก็ออกกันตอนสายๆ
อาคารบ้านเรือนย่านอพาร์ทเมนต์ที่พวกเราพักอยู่
มองดูบ้านแถบย่านนี้ สามารถมองเห็นโคลอสเซียมได้จากดาดฟ้า ทำให้นึกถึงหวยล๊อตโต้ที่พวกเราช่วยกันเลือก เผื่อถูกรางวัลใหญ่จะได้มาซื้อไว้ซักหลัง นั่งทานอาหารเช้าบนดาดฟ้า รับแดดอ่อนๆ พร้อมสายลมชมวิว ... ฝันกลางวันกันไปให้ขำขำ คุยเล่นกันสนุกสนาน
ซึ่งบ้านเรือนแถวนี้อยู่ติดกันสวนสาธารณะ และอยู่ไม่ไกลจาก โคลอสเซียม อีกด้วย
มองเห็นได้ชัดเจนจากมุมนี้ในสวน
แต่สำหรับเช้าวันนี้ ภารกิจแรกเหนืออื่นใด คือ ไปหากาแฟอร่อยๆ และอาหารเช้าเติมพลังกันก่อน
กาแฟร้อนๆ ขนมหอมๆ แดดอุ่นๆ มองโคลอสเซียมใกล้ๆ เข้ากันอย่างลงตัวจริงๆ
ด้วยความสำคัญและยิ่งใหญ่ของ โรม (Rome) แค่สำนวนที่ว่า "Rome was not built in one day" โรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว และ "All roads lead to Rome" ถนนทุกสายมุ่งสู่โรม จึงเป็นคำตอบแล้วว่า กรุงโรม สร้างขึ้นจากหยาดเหงือ เลือดเนื้อ และวิญญาณ ของผู้คนจากทั่วสารทิศได้อย่างไร จึงทำให้ผลงานต่างๆ สถาปัตยกรรมต่างๆ จึงยังคงอยู่ได้นับพันๆ ปีเช่นนี้
ได้เวลาที่พวกเราขอย้อนอดีตไปในยุคโรมันกันดีกว่า ... มีรถเช่า Fiat 500 สุดคลาสสิคให้เช่าขับ หากจะพูดถึงรถยนต์สัญชาติอิตาลีอย่าง Fiat นั้น สำหรับรุ่น 500 นั้น เมื่อปี ค.ศ. 1957-1975 จะเป็นรถที่ยอดนิยมมาก เพราะเป็นรถขนาดเล็ก ราคาย่อมเยา และเหมาะกับการใช้ในเมืองอย่างมาก โดยเฉพาะกรุงโรมที่มีตรอกซอกซอยเล็กๆ ด้วยขนาดที่เล็กกระทัดรัด พอมาถึงปี ค.ศ. 2007 จึงได้ผลิตรุ่น 500 ขึ้นใหม่อีกครั้งด้วยรูปลักษณ์ที่ใกล้เคียงกับรุ่นเก่าดั้งเดิม สำหรับแฟนๆ ที่ยังหลงไหลในรถ Fiat
เห็นจักรยานปั่นผ่านมาแล้วอยากหาโอกาสปั่นจักรยานไปรอบๆ กรุงโรม บ้างจัง
ดีที่วันนี้มีฟ้าที่สวย ช่วยให้ถ่ายภาพได้ง่ายขึ้นมาก
เท้าก้าวไป มือถือ Roma Pass บัตรเดียวเที่ยวคุ้มในกรุงโรม
เดินขึ้นไปชั้นบนกัน ทำให้ได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ ราวกับอยู่ในสนามกีฬาขนาดยักษ์
ขอบันทึกภาพกันไว้หน่อย ... เซลฟี่
ผลัดกันถ่ายไป ถ่ายมา สนุกสนาน ... โคลอสเซียม มีชื่อเดิมคือ Flavian Amphitheatre ซึ่งจะหมายถึง โรงมหรสพกลางแจ้งที่มีที่นั่งชมเป็นอัฒจรรย์อยู่โดยรอบ
แต่ผู้คนมักจะจดจำคำว่า Colossus ซึ่งหมายถึง รูปปั้นบรอนซ์ขนาดใหญ่ ของ จักรพรรดิ์เนโร (Colossus of Nero) ที่ตั้งอยู่ด้านหน้า แม้ต่อมารูปปั้นดังกล่าวจะถูกทำลายทิ้งเพื่อนำบรอนซ์ไปใช้ก็ตาม ดังนั้นคำว่า โคลอสเซียม ซึ่งแปลมาจาก Colossus นั้น ได้ถูกบัญญัติศัพท์ให้มีความหมายเดียวกับ Amphitheatre ในเวลาต่อมา
โรงมหรสพแห่งนี้ มีขนาดใหญ่สุดเท่าที่เคยสร้างมาในยุคจักรวรรดิ์โรมัน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 70-72 ก่อนคริสต์กาล โดยจักรพรรดิ Vespasian และสร้างเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 70 ยุคของจักรพรรดิ Titus รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนบางส่วนในปี ค.ศ. 81-96 ในยุคของจักรพรรดิ์ Domitian
ยิ่งใหญ่ขนาดที่สามารถรองรับผู้ชมถึง 50,000 - 80,000 คน ซึ่งใช้ในการประลองยุทธของเหล่านักรบ Gladiators, เกมส์ล่าสัตว์ อีกทั้งยังเป็นลานประหารของนักโทษคดีสำคัญต่างๆ อีกด้วย
การสร้างขึ้นโดยใช้คอนกรีตที่ทำมาจากหินทรายจากภูเขาไฟเท่านั้น จึงทำให้สถาปัตยกรรมขนาดใหญ่โตและสูงถึง 160 ฟุต (48 เมตร) นี้ได้สำเร็จ เพราะมันช่วยให้ความแข็งแกร่งให้กลายเป็นวัสดุพิเศษ และสามารถแข็งตัวได้แม้กระทั่งอยู่ในน้ำ
พวกเราเดินเข้ามาภายในบริเวณจำหน่ายสินค้าที่ระลึก และฟังเพื่อนที่กำลังอธิบายข้อมูลด้านสถาปัตย์ให้เข้าใจหลักการสร้าง ความเป็นสุดยอดสถาปัตยกรรม เป็นสุดยอดทางวิศวกรรม แห่งยุคโรมันที่มีการก่อสร้างขึ้น จึงทำให้ "โคลอสเซียม" สนามกีฬาโรมันแห่งนี้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่จวบจนทุกวันนี้
ที่นั่งชมภายใน โคลอสเซียม แบ่งตามระดับชนชั้นจำนวน 5 ชั้น เนื่องจากชาวโรมันมีนิสัยเหยียดชนชั้น จึงมีการแบ่งที่นั่งจะแบ่งแยกตามระดับชนชั้น ดังนี้
-
ชั้นโพเดียม (Podium) คือชั้นที่สามารถมองเห็นการต่อสู้ใน อรีน่าได้ชัดเจนที่สุด ดีที่สุด บริเวณทิศเหนือ จะเป็นที่นั่งชมของ กษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ และ นักบวชหญิง (Vestal Virgins) ส่วนบริเวณอื่นของชั้นโพเดียม เป็นที่สำหรับผู้แทนสภา โดยที่นั่งแต่ละตัวจะมีการสลักชื่อไว้ เพื่อเป็นที่นั่งส่วนตัว
-
ชั้น มีเนียนั่ม พรีเมียม (Maenianum Primum) เป็นชั้นที่ถัดขึ้นไปจากชั้นโพเดียม เป็นที่นั่งสำหรับ ชนชั้นสูง อัศวิน แม่ทัพ
-
ชั้น Maenianum Secundum แบบ Immum เป็นชั้นที่นั่ง สำหรับ ชาวโรมันที่ร่ำรวย
-
ชั้น Maenianum Secundum แบบ Summum เป็นชั้นที่นั่ง สำหรับ ชาวโรมันทั่วไป
-
ชั้น Maenianum Secundum in Legneis เป็นชั้นสุดท้าย อยู่ไกลที่สุด ไม่มีที่นั่งเป็นพื้นราบ หรือบางส่วนอาจมีชั้นไม้สำหรับยืนดู เป็นที่สำหรับ ชาวต่างชาติ ทาส และผู้หญิง
แม้แต่บันไดในการขึ้น-ลง ยังมีการแบ่งไม่ให้ปะปนระหว่างชนชั้นอีกด้วย
ระบบวงแหวน ซึ่งเป็นการออกแบบที่ชาญฉลาด อย่างมากทั้งในแง่ของ ทางวิศวกรรม และสถาปัตยกรรม ในแง่ทางวิศวกรรม วัสดุที่ใช้ก่อสร้างหลักมี 3 ชนิดคือ
-
Travertine Rock เป็นส่วนโครงสร้างรับน้ำหนัก เช่น เสา คานโค้ง (Arched Vaults) ยึดโยงกันเป็นระบบวงแหวน
-
Roman Concrete เป็นส่วนโครงสร้างที่หล่อทำพื้นระเบียงทางเดิน บันได อัฒจรรย์คนดู โดยหล่อทับในส่วนคาน และเสาที่ก่อสร้างด้วย Travertine Rock เพื่อยึดระบบโครงสร้างเข้าด้วยกันเพื่อความแข็งแรง
-
Tufa Rock เป็นส่วนที่ใช้สำหรับกั้นแบ่งซอย และยังช่วยค้ำยันโครงสร้างในชั้นล่าง
โดยรอบของสนามกีฬาโคลอสเซียม ได้ทำการจัดสร้างประตูทางเข้า-ออกไว้ถึง 80 ช่อง โดย 76 ช่องไว้สำหรับบุคคลทั่วไป ส่วนอีก 4 ช่อง ด้านเหนือสำหรับกษัตริย์เท่านั้น มีการคาดการณ์กันว่าด้วยระบบการออกแบบประตูทางเข้า ออก และระเบียงทางเดินเช่นนี้สามารถขนย้ายคนกว่า 80,000 คน เข้าออกจากสนามได้หมดภายในเวลา เพียง 3-4 นาทีเท่านั้น
เปลือกด้านนอกประกอบไปด้วยหิน Travertine ซึ่งประดับประดากว่า 100,000 ลูกบาศก์เมตร โดยใช้หมุดโลหะยึดติดกับตัวโครงสร้างมีน้ำหนักรวมกว่า 300 ตัน
"อลีน่า" เป็น ส่วนลานตรงกลางดังภาพ มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน คำว่า "Harena" ซึ่งแปลว่า "ทราย" เนื่องจากพื้นลานประลองทั้งหมดก่อสร้างด้วยไม้กระดาน ปิดส่วนที่เป็นห้องใต้ดินด้านล่าง ซึ่งเป็นห้องขังนักสู้แกลดิเอเตอร์และสัตว์ร้าย โดยบนไม้กระดานจะโรยทับด้วยทรายทำให้เป็นที่มาของชื่อ "อลีน่า"
ในยุคแรก ลานอลีน่าใช้เป็นลานต่อสู้ของพวกนักรบแกลดิเอเตอร์กันเองจนตายกันไปข้างหนึ่ง ผู้ชนะเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์มีชีวิตรอด หรือไม่ก็ใช้ให้นักสู้แกลดิเอเตอร์ ต่อสู้กับสัตว์ร้ายจากกาฬทวีปที่นำเข้ามาเช่น สิงโต เสือดาว ช้าง จระเข้ ฮิปโปโปเตมัส ในบางครั้งอาจ ให้นักสู้บางคนต่อสู้ด้วยมือเปล่า
ในยุคกลาง ลานอลีน่า ถูกใช้เป็นลานประหารชาวคริสเตียน โดยให้ชาวคริสต์ทั้งเด็ก ผู้หญิง คนแก่ ลงไปอยู่กลางลานอลีน่า แล้วทำการปล่อย สิงโตเข้ามา ฆ่าชาวคริสต์ผู้โชคร้ายเหล่านั้น ดังภาพ
พักสายตาและประวัติความเป็นมาภายใน มาชมภาพบริเวณภายนอกจากมุมสูง
มองเห็นเสาโบราณต่างๆ รวมทั้ง สถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ต่างๆ ทั่วทั้งเมือง
เป็นอีกครั้งที่เหมือนได้มาทัศนศึกษากันของกลุ่มเพื่อน ซึ่งเรียนสายวิทย์-ศิลป์ ช่วงมัธยมมาด้วยกัน
ได้มาชมสถานที่จริง ยิ่งทำให้สนใจอยากกลับไปค้นคว้ารายละเอียด เพื่อมาบันทึกการเดินทางไว้ให้ไม่ลืมเลือน
ได้เห็นรายละเอียดแล้ว นำบางสิ่งบางอย่างมาใช้ประโยชน์ในความคิด ความรู้ ที่นำไปประยุกต์กับงานที่ทำอยู่ได้ เหมือนเป็นการศึกษาไปพร้อมกับการท่องเที่ยว
ทุกครั้งที่ไปท่องเที่ยว มักจะรู้สึกอยู่เสมอว่า อยากไปมองเห็นโลกกว้าง มองเห็นเรื่องราวในอดีต ซึ่งน่าเรียนรู้ น่าสนใจ
แต่ที่สำคัญ คือ ได้มาท่องเที่ยวกันอีกครั้งกับก๊วนเพื่อนสนิท ที่สนิทกันมากว่า 30 ปี อีกด้วย
นี่แค่เริ่มต้นท่องเที่ยวในกรุงโรม ยังมีอีกหลากหลายสถานที่ที่สำคัญ
อีกหลากหลายสิ่งอย่างที่อยากไปพบเห็น ไว้มาติดตามกันต่อเรื่อยๆ ซึ่งนำภาพที่บันทึกไว้และรวบรายละเอียดมาฝาก โดยนำมาจากหนังสือบ้าง และเว็บไซต์ต่างๆ บ้าง มาเรียบเรียงกัน โดยต้องขอขอบคุณแหล่งข้อมูลต่างๆ ไว้ ณ ที่นี้ เพื่อนำมาแบ่งปันกัน
รถม้าพร้อมแล้ว แต่พวกเรา 4 คน ขอพึ่งเท้าตัวเองกันดีกว่า เดินย่ำไปในกรุงโรม ถึงอย่างไร "โรมไม่ได้เที่ยวครบในวันเดียว" ดังนั้น เที่ยวได้แค่ไหนก็แค่นั้น โอกาสหน้าก็อาจกลับมาเยือนอีก