หลังจากเดินเที่ยวชมภายใน โคลอสเซียม ที่ยิ่งใหญ่ ก็ได้เวลาเข้าไปเที่ยวยังแหล่งท่องเที่ยว และชุมชนที่สำคัญของกรุงโรม โดยใช้การเดินทางด้วยเมโทร หรือรถไฟใต้ดิน ซึ่งพวกเราเดินลงที่สถานี Colosseo ที่อยู่ ใกล้ๆ
สำหรับบัตร Roma Pass ราคาใบละ 25 ยูโร นั้นเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาอยู่ในโรม 3 วันขึ้นไป โดยสามารถใช้โดยสารทั้งรถไฟใต้ดิน รถเมล์ รถราง รถไฟท้องถิ่น หรือ รถไฟ Trenitalia สาย FR1- FR8 โดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง แต่อยู่ภายในระยะเวลา 3 วัน
โมเสคสีสันสวยงามในสถานีรถไฟใต้ดิน .. นอกจากนี้ บัตร Roma Pass ยังสามารถใช้เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยว หรือ พิพิธภัณฑ์ต่างๆ ได้ฟรีใน 2 แห่งแรก และสำหรับแห่งต่อๆ ไป จะใช้บัตรนี้เป็นส่วนลดได้ด้วย ซึ่งบัตรนี้หาซื้อได้จากศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวทุกแห่ง
ออกจากสถานีรถไฟใต้ดินฟลิมินิโอ (Flaminio Station) ก็จะมาถึง ปิอัซซ่า เดล โปโปโล (Piazza del Popolo) ซึ่งเป็นจัตุรัสที่มีบริเวณกว้างมาก มองเห็นเสาโอเบลิสก์ฟลามิเนียมตั้งโดดเด่นอยู่กลางจัตุรัส ซึ่ง เดิมเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมคางหมูก่อนที่พระสันตะปาปาชิกตุสที่ 5 จะ รับสั่งให้ โดเมนีโก ฟอนตานา ปรับปรุงเป็นปิอัซซ่าที่หรูหรารูปวงรีเมื่อปี ค.ศ. 1589
ซึ่งประดับด้วยเสาโอเบลิสก์ของอียิปต์อายุเก่าแก่กว่า 3,200 ปี ซึ่งจักรพรรดิออกัสตัส นำมาจากเฮลีโอโปลิส เป็นเสาที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์ราเมเซสที่ 2 แห่งอียิปต์ จึงนับว่าเสานี้มีความสำคัญและเก่าแก่ที่ สุดเสาหนึ่งของกรุงโรม
ต่อมาในช่วงปี ค.ศ. 1811-1824 สมัยที่ฝรั่งเศสปกครองอิตาลี ขุนนางในจักรพรรดินโปเลียน ได้ว่าจ้าง จูเซปเป วลาดิแยร์ แปลงโฉมจัดุรัสด้วยการใส่น้ำพุรูปสิงโตเข้าไปทั้ง 4 ด้าน ทางใต้ของจัตุรัสอันเป็นต้นถนน เวียคอร์โซ ขนาบด้วยโบสถ์ 2 หลัง ซึ่งมียอดโดมที่ใหญ่โตสวยงาม
มีน้ำพุ่งออกจากปากสิงโตเป็นแพ
ทางตะวันออกและตะวันตก ประดับด้วยรูปปั้นน้ำพุ Four Seasons รูปปั้นเทพเจ้าเนปจูนและเทพเจ้าไตรตัน ที่สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 19
ส่วนด้านเหนือมีประตู ปอร์ตา เดล โปโปโล ประตูเมืองเก่าซึ่งใช้เป็นประตูเข้าออกของกรุงโรม
ต่อจากนี้พวกเราก็เดินเท้า เพื่อเก็บเกี่ยวภาพกรุงโรม ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่สถาปัตยกรรมที่สวยใหญ่ อลังการงานสร้างทั้งนั้น
มีถนนตรอกซอกซอย เรียกได้ว่าเดินหลงได้สบาย ได้ชมภาพรถม้าที่วิ่งไปกับถนนที่รถแล่นได้อย่างเข้ากันได้ดี
ด้วยความที่มีตรอกซอกซอยขนาดเล็กอยู่มาก จึงมีการใช้รถขนาดเล็กโดยเฉพาะเจ้า Smart คันนี้ จะแบบนี้ได้สบาย ใช้พื้นที่น้อย
นอกจากนี้ ยังเห็นเจ้ารถจักรยานยนต์เวสป้า (Vespa) อยู่มากมาย
รวมไปถีง Super Car อย่าง Ferrari ก็มีให้ได้เห็น
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบสถาปัตยกรรมและศิลปะ เชื่อได้ว่าหลงรักกรุงโรมตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันแน่นอน
หรือใครที่ชื่นชอบแฟชั่น ก็มีมุมยืนถ่ายแบก เอ๊ย! ถ่ายแบบได้เกือบจะทุกที่
ด้วยบรรยากาศโดยรอบ ทั้งสถาปัตยกรรม และอากาศที่เย็นสบาย อดไม่ได้ที่จะแอบถ่ายทีเผลอในบางครั้ง
ไม่นานนักพวกเราก็เดินมาถึง บันไดสเปน (Piazza di Spagna) ซึ่งสงสัยเหมือนกันว่า เกี่ยวข้องอะไรกับสเปน แถมยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่ไม่แพ้บริเวณน้ำพุเทรวี่
ปิอัซซ่า ดิ สปัญญา หรือ บันไดสเปน (Spanish Steps) ซึ่งจัตุรัสนี้ตั้งชื่อตามสถานทูตสเปนประจำกรุงวาติกัน ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของบันไดแห่งนี้ มองเห็นเสาโอเบลิสก์ชัลลัสเชียน (Sallustian) ตั้งอยู่โดดเด่นอยู่ด้านหน้าโบสถ์ตรินิตะ เด มอนดิ (Scalinata della Trinita del Mondi)
ซึ่งนักท่องเที่ยวจะมาล้อมวงดู อ่างน้ำพุบาร์คัสเซีย (Fontana Della Baecaccia) ในภาพล่างขวานั้น ซึ่งรูปร่างคล้ายเรือกำลังรั่ว มีน้ำพุ่งออกจากปากดวงอาทิตย์ลงสู่อ่างน้ำเบื้องล่าง ออกแบบโดย ปิเอโตร แบร์นีนี
บันไดสเปนสวยงามด้วยศิลปะแบบรอกโคโค ผู้ออกแบบคือ ฟรานเซสโก เด ซันติส สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1723-1726 ถวายแด่พระเข้าหลุยส์ที่ 15
สำหรับถนนนี้เป็นถนนแฟชั่นเวียคอนด๊อตติ (Via Condotti) ซึ่งเป็นถนนที่ทอดตรงจากบันไดสเปนไปบรรจบกับเวียคอร์โซ ถนนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแหล่งแฟชั่นหรูหราที่สุดในกรุงโรม รวมทั้งถนนเส้นเล็กอีกหลายสายเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน เป็นที่ตั้งของร้านค้าแบรนด์เนมมีระดับ ทั้งยี่ห้อของอิตาลี รวมถึงชาติอื่นๆ
นอกจากร้านค้าแฟชั่นแล้ว ย่านนี้ยังมีร้านอาหาร ภัตตาคารชั้นดี โรงแรมหรูหรา ร้านกาแฟเก่าแก่ ถือเป็นย่านไฮโซของกรุงโรมก็ว่าได้
พวกเราของเลือกร้านกาแฟเก่าแก่ ขนมอร่อยชวนหิวดีกว่า
ได้จิบกาแฟหอมกรุ่น กับขนมเค้ก เพิ่มพลังในการเดิน แถมยังได้แวะเวียนสุขากันด้วย
เติมพลังกันแล้ว พร้อมจะเดินเที่ยวกันต่อในย่านเวียเดลคอร์โซ (Via del Corso)
มาถึงห้างสรรพสินค้าที่ตกแต่งได้หรูหรา
แม้แต่หลังคายังตกแต่งด้วยกระจกแกะสลักที่สวยงาม
เมื่อเดินออกมาอีกด้านของห้าง จะได้พบกับจัตุรัสโคลอนนา (Piazza Colonna) โดยมีจุดเด่น คือ เสาคอลัมน์จักรพรรดิ์มาร์คุส เอาเรลีอุส (Column of Marcus Aurelius) สูง 29.5 เมตร
สร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 180-193 เพื่อเป็นเกียรติแก่ความเป็นแม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ ที่ทำสงครามมีชัยชนะเหนือเยอรมัน เมื่อปี ค.ศ. 169-173
ภาพสลักเสาส่วนบนเป็นเรื่องราวของสงครามในครั้งนั้น ส่วนครึ่งล่างเป็นภาพสลักแสดงชัยชนะเหนือชนเผ่าซาร์เมเชียน ในปี ค.ศ. 174-176 และในปี ค.ศ. 1588 พระสันตะปาปาชิกตุ สที่ 5 รับสั่งให้สร้างรูปปั้นเซ็นต์ปอล ขึ้นไปประดับเหนือยอดเสาแห่งนี้ พร้อมกับนำรูปปั้นเซ็นต์ปีเตอร์ขึ้นไปประดับบนยอดเสาทราจันที่อิมพีเรียลฟอรัม
เดินกันต่อจนกระทั่งมาถึงจุดสำคัญจุดหนึ่งของกรุงโรม เรียกได้ว่าพลาดไม่ได้เลย
นั่นก็คือ น้ำพุเทรวี่ (Fontana di Trevi) น้ำพุที่โด่งดังที่สุดแห่งกรุงโรม ความสวยงามที่จัดว่าไม่เป็นสองรองใคร อดใจรอไว้มาชมภาพเต็มๆ ในเอนทรีต่อไปให้ได้นะ