พวกเราเดินเท้ากันมาถึง น้ำพุเทรวี (Fontana Di Trevi) เป็นจุดหมายหนึ่งของทริปนี้ที่จะพลาดไม่ได้ ด้วยเพราะเคยเห็นรูป ดูสารคดีท่องเที่ยว และที่สำคัญคือ ต้องมาโยนเหรียญ เพื่อจะได้กลับมาโรมอีกด้วยกระมัง ด้วยมีความเชื่อในตำนานกันว่า หากใครหันหลังโยนเหรียญลงในอ่างน้ำพุ ก็จะได้กลับมาที่โรมอีก จนกระทั่งมีคนโยนเหรียญลงน้ำพุเทรวี ถึงวันละประมาณ 3,000 ยูโร (ราวปีละ 44 ล้านบาท)
เทรวี นั้นยังเป็นชื่อเมือง และได้ชื่อมาจากสาวชื่อ Trivia (มีรูปปั้นบนช่องกำแพงน้ำพุด้านซ้าย) ซึ่งพาทหารโรมันไปพบตาน้ำธรรมชาตินอกกรุงโรม เมื่อ 19 ปีก่อนคริสตกาล แต่เราจะนึกถึง น้ำพุก่อนเสมอเมื่อได้ยินชื่อนี้ ซึ่งเป็นน้ำพุที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโรมด้วยความสูง 28 เมตร และกว้าง 20 เมตร ซึ่งสถานที่แห่งนี้แต่เดิมมีการสร้างน้ำพุ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1453 แต่ทว่ามีรูปลักษณ์เป็นแค่อ่างน้ำขนาดใหญ่ ต่อมาในปี ค.ศ. 1629 พระสันตะปาปา Pope Urban VIII ทรงมีดำริให้สร้างขึ้นใหม่ และมอบหมายให้ Gian Lorenzo Bernini ประติมากรผู้มีชื่อเสียงของตระกูล แบร์นินี่ ดำเนินการออกแบบ แต่เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ โครงการดังกล่าวจึงถูกยกเลิกไป
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1730 พระสันตะปาปา Pope Clement XII จัดให้มีการประกวดออกแบบ และผู้ชนะคือ Alessandro Galilei แต่ได้รับคำประท้วงคัดค้าน เพราะความที่เป็นชาว Florence จึงกลับคำตัดสินให้ Nicoli Salvi เป็นผู้ได้งานไปแทน และงานก่อสร้างเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1732 และเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1762 ซึ่งระหว่าง 30 ปีนั้น พระสันตะปาปาได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนหน้า และ Nicoli Salvi ก็ถึงแก่กรรมเมื่อปี ค.ศ. 1751 จนกระทั่งได้ Giuseppe Pannini มารับช่วงงานต่อจนสำเร็จ
จุดเด่นของประติมากรรมขนาดมหึมาชิ้นนี้อยู่ที่ รูปปั้นวีรบุรุษเทพเจ้าเนปจูน (Neptune Rex) เทพแห่งมหาสมุทร ทรงรถหอยเทียมม้ามีปีก และลากจูงโดยโอรสแห่งเทพโพไซดอนที่มีร่างเป็นมนุษย์แต่มีหางเป็นปลา ขนาบข้างด้วยเทพไตรตัน ที่กำลังปราบม้าพยศ
ถือเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของกรุงโรม และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาด หากมาเที่ยวที่เมืองนี้
พวกเราก็เดินกันต่อ เพราะยังมีอะไรที่น่าสนใจหลากหลายในกรุงโรมแห่งนี้ ซึ่งใครที่มาเที่ยวอยากให้ฟิตร่างกาย ให้เดินเก่ง เดินทน เพราะถนนหนทางจะเป็นตรอกซอกซอยเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งอาศัยการเดินเท้าเป็นหลัก
หรือใครจะลองนั่งรถเทียมม้า ก็โรแมนติคไม่เบา แต่ทว่าก็ซอกแซกไม่เท่าการเดินอยู่ดี ซึ่งการเดินลัดเลาะไปตามซอกตึก ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เดินสำรวจไปตามถนนแคบๆเหล่านี้
ทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวโรมันสมัยใหม่ ที่อาศัยอยู่ในตึกเก่า ซึ่งส่วนใหญ่ดำรงชีพด้วยการเปิดร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านไอศกรีมเจลาโต ร้านขายของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว
เพราะมีมุมให้ยืนถ่ายแบบ เอ๊ย! ถ่ายแบกกล้องแทบจะทุกมุมของเมืองเลย ซึ่งสินค้าหลักของโรมในปัจจุบันก็คือ ขายการท่องเที่ยว นั่นเอง
เดินมาก ใช้พลังงานมาก ก็ต้องเติมพลังกันหน่อย ซึ่งอะไรๆ ก็ไม่ดีไปกว่า พิซซ่า (Pizza) ในต้นตำรับอาหารยอดนิยมนี้ ที่กระจายไปทั่วโลก ยืนอยู่หน้าร้านแล้วแทบจะอยากชี้ให้คนขายหยิบมาหน้าละชิ้น เพราะดูน่าหม่ำไปซะทุกหน้า ในที่สุดก็ได้มา 3 แบบดังภาพ ช่วยสร้างพลังงานส่งตรงถึงขาได้อย่างรวดเร็ว
คิดอยากเป็นนักรีวิวอาหารขึ้นมาในทันที เพราะทริปนี้มีแต่ของอร่อย ... อย่าที่บอกว่าเมืองนี้ ตรอกซอกซอยมีขนาดเล็ก ทำให้ยานพาหนะก็มีขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่ เช่น รถ Fiat 500, รถเวสป้า (Vespa) เป็นต้น ไม่แปลกใจว่าทำไมเป็นสัญลักษณ์ของอิตาลีอีกด้วย
มาถึงโบสถ์ซานติญญาซีโอ ดิโลโยลา (Sant' Ignazio di Loyola) เป็นโบสถ์ในนิกายเยซูอิดศิลปะแบบบารอก สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1685
ด้วยงบประมาณที่จำกัด จึงไม่ได้สร้างยอดโดมไว้เหมือนโบสถ์อื่นๆ อันเดรอา ดัลพอซโซ ศิลปินผู้วาดภาพจิตรกรรมฝาผนัง จึงได้วาดภาพลวงตาให้เหมือนยอดโดมไว้ด้วย
ภาพสวยยิ่งใหญ่อลังการ และมีแสงลอดลงมาได้
แหงนมอง และยอมเมื่อยคอ เพราะความสวยงามตรงหน้า
ภาพวาดมีมิติ ทำให้เหมือนเป็นหลังคาโค้ง ฝีมือสุดยอดศิลปินจริงๆ
เป็นภาพจิตรกรรมที่ทรงคุณค่า ในปัจจุบันคงไม่สามารถสร้างสรรค์ได้งดงามเช่นนี้ ด้วยฝีมืออย่างแท้จริง แต่ทุกวันนี้มักจะพึ่งพาแต่เทคโนโลยีเป็นหลัก
การมาท่องเที่ยวยังกรุงโรม จึงเหมือนย้อนกลับไปในยุคสมัยเก่า ในสมัยโรมันที่รุ่งเรืองในอดีต ยิ่งผู้ที่ชื่นชอบผลงานศิลปะ และมีเวลาไม่เร่งรีบ ค่อยๆ ซึมซับบรรยากาศและรายละเอียดไปเรื่อยๆ
ผลงานแต่ละชิ้นมีขนาดใหญ่มหึมา และมีจำนวนมากมาย สวยงามทุกชิ้น
จุดหมายอีกแห่ง ที่เราต้องเดินรี่มาในบ่ายวันนี้ ก็คือ วิหารแพนธีออน (The Pantheon) วิหารที่มีอายุกว่า 2,000 ปี ที่ยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดของอิตาลี ซึ่งภาษากรีก คำว่า Pantheon แปลว่า มวลเทพ หรือ แด่เทพเจ้าทั้งปวง
มาถึงประตูทางเข้าที่ดูยิ่งใหญ่ ซึ่งวิหารนี้สร้างโดย มาร์กุส อะกริปปา (Marcus Agrippa) และต่อมาสร้างขึ้นใหม่โดย จักรพรรดิ์ฮาเดรียน (Hadrian)
ซึ่งในอดีต คือ เทวสถาน ที่ใช้สักการะทวยเทพ ด้วยการนำสัตว์มาบูชายัญทั้งเป็น โดยควันไฟจะลอยออกไปจากช่องส่องแสงวงกลมข้างบน (เรียกว่า Oculus หรือ ดวงตาแห่งสวรรค์)
ซึ่งสร้างเพื่อให้ลำแสงส่องสาดกษัตริย์ที่มาประกอบพิธีสำคัญต่างๆ ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้น้ำฝนลงมาชะล้างภายในด้วย จึงมีรูเล็กที่พื้นวิหาร ให้ถ่ายเทน้ำสู่ท่อส่งไปยังแม่น้ำไทเบอร์ (Tiber)
วิหารแห่งนี้มีชื่อเสียงจากโถงด้านหน้าที่มีเสาโครินเธียนทำด้วยหินแกรนิตโดดเด่นสะดุดตา 8 ต้น และมีเสาแบบเดียวกันอีก 8 ต้นซ้อนอยู่ด้านหลัง เสาทั้งหมดนี้รองรับหน้าจั่วสามเหลี่ยมขนาดมหึมา ส่วนตัวอาคารจริงนั้นเป็นโดมทรงกลม ยอดโดมนั้นเป็นซากที่หลงเหลืออยู่ของโดมคอนกรีตไม่เสริมแรงที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ยอดเยี่ยมในการออกแบบและสร้างได้สำเร็จคงทนแข็งแรงกว่า 2,000 ปี ถึงปัจจุบัน อาคารทรงกลมนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 142 ฟุต (43.3 เมตร) และมีความสูงจากพื้นหินอ่อนลายตาหมากรุกไปจนถึงยอดโดมเท่ากันพอดี และอย่าลืมดูชมพื้นอาคาร ซึ่งเป็นของดั้งเดิมตั้งแต่สมัยโรมัน
ต่อมาในศตวรรษที่ 7 ก็ถูกปรับเปลี่ยนเป็นวิหาร ซึ่งมีอีกชื่อว่า ซานตา มาเรีย เดลลา โรทอนดา (Santa Maria della Rotonda) ซึ่งสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาชม คือ โดมที่ตระการตา และพื้นที่ภายในออกแบบได้ลงตัว แม้แต่ Michelangelo เอง ยังเคยมาศึกษาโดมแห่งนี้ แล้วนำไปออกแบบโดมของวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ ในเวลาต่อมา แต่มีขนาดเล็กกว่าประมาณ 50 ซ.ม. ... สถานที่แห่งนี้นอกจากเป็นที่ฝังศพของกษัตริย์หลายพระองค์แล้ว ยังมีศพของ ราฟาเอล จิตรกรผู้มีชื่อเสียงของอิตาลีอีกด้วยในภาพ
เดินกันต่อไปยัง จัตุรัสนาโวน่า (Piazza Navona) ซึ่งมองเห็นโดมที่อยู่ตรงหน้านั้น
เป็นลานกว้างที่ผู้คนมาชมการแสดงต่างๆ เปรียบเหมือนเป็นสเตเดียมเปิดโล่งตั้งแต่ครั้งอดีตกาล จนถึงปัจจุบันยังคงมีรูปแบบและตามวัตถุประสงค์เดิม เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ กลางจัตุรัสมีเสาหินโรมันโอเบลิสก์ตั้งอยู่เหนือ น้ำพุสี่มหานที (Fontana dei Quattro Fiumi) สร้างในปี ค.ศ. 1651 เป็นผลงานของแบร์นีนี่ เป็นสัญลักษณ์ของแม่น้ำ 4 สาย จาก 4 ทวีป คือ แม่น้ำคงคงของทวีปเอเชีย, แม่น้ำดานูบของทวีปยุโรป, แม่น้ำไนล์ของทวีปแอฟริกา และ ริโอเดลลาพลาตาของทวีปอเมริกา
อีกทั้งมีการขายผลงานทางศิลปะ เพิ่มสีสันให้บริเวณนี้อย่างมาก มีทั้งพ่อค้าแม่ขายชาวท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
จัตุรัสนี้มีน้ำพุอยู่ 2 แห่งด้วยกัน คือ ทางทิศใต้เป็น น้ำพุ Fontana de Moro ซึ่งเป็นรูปปั้นของ เทพเนปจูน ยืนบนเปลือกหอย โรมรันกลับปลาโลมา ล้อมรอบไปด้วยมนุษย์เงือก ซึ่งประติมากรรมที่เห็นเป็นการจำลอง เพราะของจริงนั้นถูกนำไปจัดเก็บไว้ใน หอศิลป์ โบร์กีส ตั้งแต่เมื่อครั้งบูรณะน้ำพุ เมื่อปี ค.ศ. 1874 ส่วนทางทิศเหนือเป็น น้ำพุ Fontana del Nettuno ซึ่งเป็นรูปปั้นของ เทพเนปจูน สู้กับปลาหมึก ตามตำนานโบราณ
เดินไปบางมุมของเมือง ตามซอกตึก ก็จะเห็นน้ำพุ อดไม่ได้ที่จะเดินไป กดแช๊ะ! ไปด้วย ถือโอกาสพักขาไปด้วยในตัว
เงยหน้ามองอาคารที่ยังคงอนุรักษ์ รักษาความเป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ มีสีสันที่ไปด้วยกันได้ในแต่ละอาคาร ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะนานแค่ไหน ชาวเมืองนี้ก็ยังคงมีการเห็นคุณค่าของสถาปัตยกรรมเก่า ช่วยกันรักษาไว้ หรือปรับปรุงให้เข้ากันได้ดี
แม้จะดูธรรมดา สีเก่าๆ แต่ทว่า มีรายละเอียดซ่อนอยู่ตามส่วนต่างๆ อย่างเช่น ประตู, ลูกบิด, โคมไฟ เป็นต้น ที่แอบมีศิลปะเหนือชั้นซ่อนอยู่
สลับกับสถาปัตยกรรมแบบที่มีรายละเอียด แบบอลังการงานสร้าง ไปด้วยกันได้ดี
แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้ คือ ธรรมชาติ ซึ่งก็ต้องมีต้นไม้ ดอกไม้สวยๆ เพิ่มความมีชีวิตชีวาได้ดี แค่นั่งมองดู ก็หายเหนื่อยได้รวดเร็ว
ไม่เพียงแต่สถาปัตยกรรม แต่ทว่ามีผลงานประติมากรรม เพิ่มชีวิตชีวาให้อาคารได้ด้วย ... หาจะเก็บรายละเอียดกรุงโรมทั้งเมือง คงต้องใช้เวลาเป็นเดือน เพราะไม่ว่าเดินอยู่ตรงจุดไหน ก็จะมีจุดที่น่าสนใจ
จุดที่น่าบันทึกภาพความประทับใจไว้ชมนานๆ ... เราทั้ง 4 คน เดินกันมาถึงยังบริเวณตลาดลานบุปผชาติ (Campo De Flori) แต่เนื่องจากเรามาถึงในช่วงเย็น ตลาดดอกไม้ก็วายไปหมดแล้ว คงเหลือร้านค้าที่ขายผลผลิตของชาวสวน ชาวไร่ ที่นำผลิตผลมาขาย ดังนั้นขอนำภาพดอกไม้ที่เก็บบันทึกระหว่างการเดินและพบเห็นมาไว้แทนแล้วกัน
มองเห็นอนุสาวรีย์ของนักประพันธ์ นักปรัชญา นักดาราศาสตร์ ชาวอิตาเลี่ยน มีนามว่า "Giordano Bruno" ที่ประพันธ์บทกวีที่พรรณนาด้วยความรันทดใจ เมื่อชุมชนวอร์ซอร์ ซึ่งถูกขังนาน 7 ปี และนำไปเผาตายทั้งเป็นด้วยข้อหาเป็นคนนอกรีต เพียงเพราะเขาส่งเสริมทฤษฎี มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และเผยแพร่ปรัชญาการคิดที่สมเหตุสมผล เพื่อไม่ให้หลงงมงายในส่วนที่ไร้ตรรกะของศาสนา
ได้เวลาของการนั่งพักขา และจิบเครื่องดื่มก่อนอาหาร (Aperitif) หรือภาษาอิตาเลียนเรียกว่า "Aperitivo" และอาหารเรียกน้ำย่อยอย่างมันฝรั่งทอดกันซักหน่อย ถือเป็นวัฒนธรรมการกินของอิตาลี ซึ่งเครื่องดื่มประเภทนี้ใช้ดื่มเพื่อดับกระหายและเรียกน้ำย่อย แบบนี้คงทานอาหารเย็นแบบมื้อเต็มๆ (Dinner) ได้เยอะอย่างแน่นอน
เป็นความสุขอย่างหนึ่งได้นั่งชิล ชมวิว ชมบรรยากาศผู้คนเดินผ่านไปมา ใช้ชีวิตแบบช้าลงบ้าง
และที่สำคัญได้กลับมาท่องเที่ยวกันของเพื่อนสมัยเรียนมัธยม มิตรภาพที่ยาวนาน แนบแน่นตลอดไป
นั่งจิบไป นั่งวิจารณ์ผ้ากันเปื้อนแต่ละผืนที่อยู่ตรงหน้าไปด้วย หัวเราะขำขำกันสนุกสนาน
ได้เวลาเดินเที่ยวกันต่อ เพราะยังมีจุดท่องเที่ยวที่สำคัญในกรุงโรมอีกมาก ล้วนแต่ยิ่งใหญ่อลังการ
ไว้ตามมาเที่ยวกันต่อนะ จะพาไปยัง จัตุรัสเวเนเซีย (Piazza Venezia) ที่ยิ่งใหญ่อลังการมาก และชมวิวจากมุมสูงจากเนินเขา กาปีโตลีเน (Capitoline) ดูบ้าง