Disable Preloader




ร้อนนัก ไปพักร้อน 2013 ตอนที่ 5 : ขึ้นเนินเขากาปิโตลีเนแห่งโรม ก่อนชมโรมันฟอรัม

สองเท้าก้าวเดินกันต่อไปบนถนนมาร์เชลโล ก่อนเดินขึ้นไปยังเนินเขากาปีโตลีเน (Capitoline) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ ปิอัซซ่ากัมปีโดลีเย (Piazza Campidoglio) และ พิพิธภัณฑ์กาปีโตลีเน อีกด้วย

มองเห็นสถาปัตยกรรมขนาดมหึมาของ ปิอัซซ่าเวเนเซีย (Piazza Venezia) ซึ่งเป็นที่่ตั้งของกษัตริย์พระองค์แรกของ สาธารณรัฐอิตาลี พระนามว่า "พระเจ้าวิตโตริโอ้ เอ็มมานู เอลที่ 2" (Vittorio Emanuele II) ผู้รวมชาติอิตาลีให้เป็นปึกแผ่น

เริ่มสร้างในปี ค.ศ. 1885 แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1911 ซึ่งสถาปัตยกรรมแห่งนี้มีทั้งคนสดุดี และสาปแช่งชิงชัง เพราะมีการขับไล่ชุมชนให้ไปอยู่ที่อื่น อีกทั้งรูปลักษณ์บ้างก็ว่า คล้ายกันขนมเค็กแต่งงานบ้าง และ เหมือนพิมพ์ดีดบ้าง

พวกเราก็เดินขึ้นบันไดกอร์โดนาตา เพื่อไปยังจัตุรัส โดยมีรูปสลักเทพคลัสเตอร์ และ พอลลักซ์พร้อมม้าทรง ตั้งประดับขนาบบันไดทั้งสองข้าง

จุดกึ่งกลางลานจะเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์ทรงม้าจักรพรรดิมาคุส เอาเรลีอุส (Marcus Aureluis)

แต่เป็นรูปหล่อจำลองจากทองบรอนซ์ เลียนแบบงานต้นแบบที่ตั้งอยู่ใน ปาลัซโซเดอี กอนแซร์วาตอรี (Palazzo dei Conservatori)

พวกเราเดินขึ้นไปบริเวณดาดฟ้าด้านบน เพื่อชมวิวจากมุมสูงของกรุงโรมกันก่อนเข้าไปเที่ยวชมภายในพิพิธภัณฑ์กาปิโตลีเน ซึ่งจัดแสดงผลงานศิลปะกรีก-โรมันโบราณ

ตื่นตาตื่นใจ มองเห็นโดมอยู่หลายๆ จุด เป็นเมืองที่สวยงามมากๆ เมืองหนึ่งของโลกจริงๆ

ขอเก็บบันทึกภาพความประทับใจกันไว้ .. แช๊ะ! แช๊ะ! แบบ รัว รัว

มองภาพแบบพาโนราม่า ก็ต้องชื่นชมชาวอิตาลีที่รักษาสิ่งเหล่านี้ ให้ได้ชื่นชมกันไม่รู้เบื่อ

รวมทั้งการสร้างบ้านเรือนขึ้นใหม่ หรือพยายามซ่อมแซมของเก่า ก็ทำให้เข้ากันได้อย่างลงตัวกับสถาปัตยกรรมเก่าแก่ทรงคุณค่าได้อย่างดี ดูกลมกลืนเป็นเอกลักษณ์

มองเห็นด้านหลังของปิอัซซ่าเวเนเซีย (Piazza Venezia) ซึ่งยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างมากๆ ยิ่งถ้าเห็นภาพยามค่ำคืน ก็ยิ่งน่าดูเกรงขามขึ้นอีกมาก

ได้เวลาไปเดินเที่ยวชมภายในพิพิธภัณฑ์กัน แต่ระหว่างเดินไปนั้น ได้พบกับจุดกำเนิดของกรุงโรม ที่โรมิวรัส กษัตริย์พระองค์แรก สร้างนครหลวงแห่งนี้ขึ้น นั้นคือ โรมันฟอรัม Foro Romano (Roman Forum)

ถือเป็นหลักฐานความรุ่งเรืองของอาณาจักรโรมัน ซึ่งเรืองอำนาจอยู่กว่า 1,000 ปี ซึ่งมีอาคารสิ่งก่อสร้างมากมายรายล้อมด้วยบ้านเรือนราษฎร คาดกันว่ามีจำนวนมากถึง 1 ล้านคน

แต่เมื่อจักรวรรดิโรมันล่มสลาย โรมันฟอรัม ก็ถูกทิ้งร้างกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง ซึ่งคนรุ่นต่อๆ มาก็นำเศษอิฐหินหรือหินอ่อนไปก่อสร้างบ้านเรือน บ้างก็นำวัวมาเลี้ยงอยู่ ท่ามกลางซากปรักหักพัง จนเรียกที่นี่ว่า "กัมโปวัชชีโน" หรือทุ่งเลี้ยงวัว อีกด้วย

Tempio di Saturno (Temple of Saturn) หรือ โบสถ์ดาวพระเสาร์ สร้างขึ้นเพื่อถวายเทพดาวพระเสาร์ 427 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยสร้างขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ในอีก 455 ปีต่อมา และครั้งที่ 3 ในปี ค.ศ. 283 หลังจากถูกไฟไหม้จนเสียหายอย่างหนัก

Arch of Septimius Severus หรือประตูชัย เซพติมุส ซาเวรัส สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 203 เพื่อฉลองชัยชนะที่มีต่อกองทัพเปอร์เซีย ในปี ค.ศ. 194-195 และ 197-199 ของจักรพรรดิเซพติมุส ซาเวรัส และพระโอรสทั้งสอง คือ จักรพรรดิคาราคาลล่า (Caracalla) และ จักรพรรดิเจต้า (Geta) ซึ่งครองราชย์พร้อมพระบิดาทั้งคู่

และเมื่อพระบิดา สวรรคต ก็ขึ้นครองราชย์พร้อมกันอีก แต่ต่อมาจักรพรรดิคาราคาลล่า (ผู้พี่) ก็สังหาร จักรพรรดิเจต้า (ผู้น้อง) และให้ทำลายรูป รวมทั้งลบชื่อเจต้าออกไปทั้งหมด

ยืนชมไป จินตนาการไป และบันทึกภาพมุมกว้างแบบพาโนรามาไว้บ้าง ไว้กลับมาค้นคว้าหาข้อมูลตอนเขียนบล๊อกในภายหลัง

ยิ่งได้สัมผัสกับสถานที่ ก็ช่วยให้การค้นคว้าข้อมูลมาประกอบบันทึกการเดินทางได้ง่ายขึ้น และจะช่วยให้จดจำรายละเอียดของสถานที่นั้นๆ ได้อีกด้วย

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบผลงานศิลปะ รับรองว่าถูกใจ แต่ละชิ้นถ่ายทอดรายละเอียดได้อย่างยอดเยี่ยม

มาชมบรรยากาศภายในพิพิธภัณฑ์กาปีโตลีเน (Capitoline Museum) กัน ซึ่งเปิดให้เข้าชมครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1471 ก่อนจะปรับปรุงอีกครั้งในปี ค.ศ. 1734 ซึงภายในจะมีวัตถุโบราณและผลงานศิลปะที่น่าสนใจอยู่มากมาย

มีห้องจักรพรรดิโรมัน ซึ่งมีรูปสลักครึ่งตัวจักรพรรดิโรมันจำนวน 65 พระองค์, รูปหล่อทองบรอนซ์เฮอร์คิวลิส (Bust of Commodus as Hercules), รูปหล่อโลหะจักรพรรดิคอนสแตนติน เป็นต้น

ล้วนแล้วแต่มีความสวยงาม และต้องทึ่งกับฝีมือในการแกะสลักหินอ่อนได้อย่างอ่อนช้อย

มีรูปแกะสลักหินอ่อนอยู่เป็นจำนวนมาก ล้วนแล้วแต่มีความงดงาม รายละเอียดชัดเจนทั้งสรีระ และเสื้อผ้าอาภรณ์พริ้วไหว

เรียกได้ว่า เดินชมแบบผ่านๆ ซึ่งน่าเสียดายที่ไม่ได้ศึกษามาก่อนว่า จะต้องชมผลงานชิ้นใดบ้างที่โดดเด่น

ซึ่งมีชิ้นที่สำคัญ เช่น รูปหล่อทองบรอนซ์แม่หมาป่า (Bronze She-Wolf หรือ Lupa Capitolina) ซึ่งรูปหล่อนี้เป็นสัญลักษณ์ของกรุงโรมมาตั้งแต่ราว 500 ปี ก่อนคริสตกาล และเป็นศิลปะของชาวอีทรัสกัน ซึ่งได้ปกครองอาณาจักรโรมันในช่วงแรก

เป็นรูปหมาป่ายืนแยกเขี้ยว กำลังให้นมโรมิวลุสและเรมุส ซึ่งพระสันตะปาปาตุสที่ 4 เป็นผู้มอบให้เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์เมื่อครั้งทำพิธีเปิดในปี ค.ศ. 1471

เดินออกมาชมบริเวณที่โล่งระหว่างอาคารของพิพิธภัณฑ์ เจอเข้ากับเท้ายักษ์

ซึ่งเคยเห็นภาพแมวเหมียวกำลังนั่งอยู่บนเท้ายักษ์ ช่วยอธิบายให้เป็นความใหญ่โตได้ง่ายขึ้น

ผลงานต่างๆ ยังอยู่ในสภาพดีแม้จะผ่านกาลเวลามายาวนาน สิ่งสำคัญคงอยู่ที่การอนุรักษ์อย่างดีของชาวอิตาเลียน

ทำให้คนทั่วโลกหลั่งไหลมาเที่ยวชมกันมากมาย เป็นเหมือนขุมทรัพย์สมบัติที่หาค่ามิได้ และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวได้อย่างมหาศาล

มองเห็นรูปแกะสลักกำลังทำท่าเหมือนกันถ่ายภาพเซลฟี่กันอยู่

ในบางมุมของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จะมองเห็นบริเวณโรมันฟอรัมได้ใกล้จากมุมสูง ฟ้าวันนี้ยังสวยสดใสอยู่

ยังมีเวลาเก็บภาพบรรยากาศได้อีก

ผู้คนหลากหลายยังคงเดินเที่ยวชมกันอยู่ ซึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิด วันอังคาร-อาทิตย์ เวลา 9:00-20:00 น. ค่าเข้าชม 9 ยูโร

ได้เวลาออกจากพิพิธภัณฑ์เดินเท้ากันต่อไปทาง โคลอสเซียม (Colosseo) ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดนี้

ผ่านเส้นทางเดินภายใน โรมันฟอรัม (Roman Forum)ยิ่งได้เห็นความยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม ที่เสาแต่ละต้นมีขนาดใหญ่และสูงมาก

ไว้มาติดตามกันต่อ ระหว่างนี้ชมภาพยนตร์แบบ Time Lapse ที่ถ่ายทำด้วยความอุตสาหะอย่างมาก และได้เห็นความงดงามของกรุงโรมได้อย่างตื่นตาตื่นใจ และแนะนำให้เปิดแบบเต็มจอในโหมด Full HD 1080p