ถึงแม้ว่าทริปนี้ จะเน้นไปในการท่องเที่ยวประเทศอิตาลีเป็นหลัก แต่ไหนๆ ก็มาถึงกรุงโรมแล้ว หากไม่ได้ไปเที่ยวที่ นครรัฐวาติกัน ก็น่าเสียดายยิ่งนัก เพราะไม่เพียงแต่การได้เที่ยวชมศิลปะอันงดงาม ล้ำค่า แต่ยังได้ชื่อว่า ได้ไปเที่ยวเพิ่มอีกหนึ่งประเทศที่ได้ชื่อว่า ประเทศที่เล็กที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่เพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร
เช้านี้พวกเราก็ออกเดินทางกันตั้งแต่เช้า เพื่อมายังพิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museums)
ด้วยรถไฟใต้ดินสาย A ลงที่ สถานี Ottaviano เมื่อมาถึงยังประตูทางเข้าพิพิธภัณฑ์วาติกัน
มองเห็นแถวนักท่องเที่ยวมารออยู่เป็นจำนวนมาก ดีที่เพื่อนดำเนินการจองตั๋วล่วงหน้าผ่านเว็บ จึงทำให้ผ่านเข้ามาได้รวดเร็วและไม่ต้องไปรอคิวยาวอย่างที่เห็น ซึ่งค่าเข้าชมจะอยู่ที่ 15 ยูโร เมื่อมารับตั๋วเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าสู่บริเวณด้านในกัน
ภายในพิพิธภัณฑ์วาติกัน สูง 4 ชั้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวังสมเด็จพระสันตะปาปา สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 จากฝีมือของเหล่าศิลปินอิตาลี มีทั้ง ไมเคิลแองเจโล, บรามันเต, ราฟาเอล และ แบร์นีนี
ภายในพิพิธภัณฑ์เป็นที่เก็บและจัดแสดงศิลปะวัตถุที่เป็นสมบัติของศาสนจักร ตั้งแต่ยุคอียิปต์ กรีก โรมัน
อย่างที่เห็นจะเป็นมัมมีในยุคอียิปต์ ซึ่งเคยเห็นแต่ภาพหรือภาพยนตร์สารคดี แต่ก็ได้มาสัมผัสด้วยสายตาที่นี่ โดยนึกว่าจะต้องไปชมถึงประเทศอียิปต์ซะแล้ว แต่สำหรับพิพิธภัณฑ์อียิปต์ (Egyptian Museum) นี้ จะรวบรวมผลงานสไตล์อียิปต์ที่ค้นพบรอบๆ กรุงโรม
นอกจากนั้น ยังมีผลงานศิลปะในกลาง ยุคเรอเนสซองซ์ บารอก มาจนถึงยุคศตวรรษที่ 15 - 19 ที่หาชมได้ยาก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมบัติของพระสันตะปาปาองค์ต่างๆ จากภาพที่เห็นถือเป็นผลงานที่เด่นที่สุด คือ รูปปั้นของ Apollo del Belvedere ที่เป็นสัญลักษณ์ของการเอาชนะสรรพสิ่งด้วยความงาม ความสามัคคี
งานประติมากรรมหินอ่อนที่สวยงาม
ภาพเขียน ภาพโมเสก ภาพผนังเฟรสโก
ภาพวาดเพื่อศาสนา
ภาพบนพรมแขวนผนัง
รวมถึงโบราณวัตถุอีกนับไม่ถ้วน ทุกชิ้นล้วนงดงามตื่นตาตื่นใจ น่าชมเกินที่จะสามารถบรรยายเป็นตัวอักษรได้ครบถ้วน ... ภาพที่เห็นนี้จะเป็น พิพิธภัณฑ์ ปียุส เคเมนทิเน่ (Pius-Clementine Museum)
ในส่วนของ Room of Animals (ห้องสรรพสัตว์) ซึ่งได้รวบรวมรูปปั้นสัตว์ต่างๆ ในยุคโรมันโบราณ
เดินชมไปพอสมควรในการหาที่นั่งพักขา และรับประทานอาหารเช้ากัน เพื่อจะได้มีเรี่ยวแรงเดินเที่ยวชมกันต่อ ซึ่งเส้นทางในการเดินชมผลงานศิลปกรรมต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์วาติกัน มีระยะทางรวม 14.5 กิโลเมตร และถ้าจะชมผลงานทั้งหมดชิ้นละ 1 นาที ว่ากันว่าต้องใช้เวลาถึง 4 ปีเต็ม
เดินกันต่อมาถึงยัง หอศิลป์แผนที่ (Gallery of the Maps) เป็นผลงานจิตรกรรมฝาผนังที่พระสันตะปาปา เกรกอรี่ที่ 13 (Pope Gregory XIII) สั่งให้ศิลปินวาดขึ้นจากต้นแบบแผนที่ของ Ignazio Danti ซึ่งเป็นนักภูมิศาสตร์ในยุคนั้น มีทั้งหมด 40 ภาพ บ่งบอกถึงแคว้นต่างๆ ของอิตาลีอย่างครบครัน
ห้องราฟาเอล (Raphael's Rooms) ได้เห็นถึงผลงานอันยิ่งใหญ่ของ ราฟาเอล (Rafael Saizio ค.ศ. 1483-1520) ศิลปินชั้นนำของอิตาลี และผลงานชิ้นเอกที่อยู่ในห้อง Signature Room คือ ภาพล่างซ้ายมีชื่อว่า "โรงเรียนแห่งกรุงเอเธนส์" (School of Athens) เป็นภาพนักปราชญ์โบราณหลายท่าน เช่น พลาโต กับ อริสโตเติล กำลังยืนถกเถียงปรัชญากัน รวมทั้งนักปราชญ์ในยุคเรอเนสซองซ์อีกหลายท่าน เช่น ลีโดนาโด ดาวินชี, ไมเคิลแองเจโล และ พลาโต เป็นต้น แสดงให้เห็นถึงการยอมรับนับถือศิลปะวิทยาการกรีกของยุคโรมันโบราณ ซึ่งต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่ามีคุณค่าและงดงาม
แหงนมองเพดาน ที่ต้องทึ่งในความสามารถของศิลปินกว่าจะสร้างสรรค์ผลงานที่เยี่ยมยอดเช่นนี้อย่างยากเย็น
ซึ่งการวาดภาพปกติก็ยากมากอยู่แล้ว แต่การที่ต้องวาดบนเพดาน น่าจะยากกว่าอีกหลายเท่า ทั้งมุมมองจากผู้ที่มองจากข้างล่าง แต่ก็มองเห็นรายละเอียดและแสงเงาได้อย่างยอดเยี่ยม
เรียกได้ว่า นักท่องเที่ยวแต่ละคนได้บริหารต้นคอและสายตาที่ต้องกวาดรอบ 360 องศา เพื่อไม่ให้พลาดความงดงาม ยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้
มีเวลาเที่ยวชมแค่ครึ่งวันในพิพิธภัณฑ์วาติกันแห่งนี้ ยังไม่จุใจ คงต้องเน้นชมและถ่ายภาพกลับมาใช้สำหรับศึกษาหาข้อมูลประกอบ จะได้เข้าในถึงรายละเอียดในส่วนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งในช่วงบ่าย พวกเรายังต้องไปเที่ยวชมกันต่อที่ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter's Square) และขณะนี้อยู่ที่ชั้นบนของพิพิธภัณฑ์วาติกัน จึงขอเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบจากมุมสูงของกรุงโรมแห่งนี้
เดินมาถึงยัง ห้องวงกลม (Rotunda Room) ผลงานการออกแบบของ ไมเคิลแองเจโล ซึ่งโดมเลียนแบบมาจากโดมของ วิหารแพนธิออน นั่นเอง
ยังมีผลงานอีกมากมาย แต่จุดที่เป็นไฮไลท์ที่สุดของการมาเที่ยวยังพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ นั่นคือ การเข้าไปชมโบสถ์ซีสทีน (Sistine Chapel) เป็นส่วนที่อลังงานงานสร้างที่สุดจากผลงานภาพเขียนเฟรสโกหรือจิตรกรรมปูนเปียกทั้งบนฝาหนังและเพดานโบสถ์ของ ไมเคิลแองเจโล ทั้ง The Last Judgement คำพิพากษาครั้งสุดท้ายที่เป็นภาพใหญ่เต็มฝาผนัง และ Creation of Adam ภาพเนรมิตสร้างอดัม ซึ่งเป็นภาพพระหัตถ์ของพระเจ้ากับมือของมนุษย์ผู้ชายยื่นเข้าหากัน แต่ไม่แตะกัน ในช่องกลางพดาน ซึ่งในห้องนี้ห้ามบันทึกภาพโดยเด็ดขาด จึงไม่สามารถนำภาพมาแสดงได้
ได้เวลาเดินออกมารับแสงแดดและอากาศสดชื่นภายนอกกันบ้างที่ สนามเม็ดสน (The Pine-Cone Courtyard) เพราะรู้สึกว่ากำลังเสพย์ศิลปะจนเกินขนาด เริ่มตาลาย
ลานสนามที่มีช่อเมล็ดสนรูปกรวยสีบรอนซ์ สูง 4 เมตร และ นกยูง 2 ตัว ประกบอยู่เบื้องล่าง เป็นผลงานของ Arnaldo Pomodoro ที่ติดตั้งในปี ค.ศ. 1990
ต้องขอขอบคุณเพื่อนรักทั้งสองซึ่งเป็นเพื่อนสมัยมัธยม และน้องอีกคนที่มาทริปอย่างสนุกสนาน เหมือนได้มาทัศนศึกษาผลงานศิลปะซึ่งได้เล่าเรียนกันมาในตอนมัธยมปลาย
เก็บความประทับใจบันทึกการเดินทางไว้ด้วยภาพถ่ายและเรื่องราว ไว้ย้อนกลับมาดูเมื่อไร ก็อดจะหวนนึกถึงช่วงเวลาที่สนุกสนานและอดอมยิ้มไม่ได้ ไว้กลับมาติดตามตอนต่อไป ยังมีอะไรที่ตื่นตาตื่นใจอีกมากมาย