Disable Preloader




ร้อนนัก ไปพักร้อน 2013 ตอนที่ 8 : ไปชม มหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ เลอค่า ล้ำค่า น่าชม

ได้เวลาอาหารกลางวันแล้ว พวกเราก็เตรียมเดินออกจากพิพิธภัณฑ์วาติกัน มาเจอะบันไดวนก้นหอย เป็นบันไดที่รู้สึกถึงความแปลก ความยิ่งใหญ่ ความสวยงามไปด้วยกัน

เป็นเหมือนผลงานศิลปะขนาดใหญ่ ที่ใช้สอยได้จริง เพราะมีลวดลายตลอดบันไดเวียน

เดินลงมาจะเจอกับประตูทางออก เหมือนบันไดแห่งนี้ เป็นจุดปิดท้าย เพื่อให้ผู้มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ได้เก็บความประทับใจไว้ในความทรงจำ

สิ่งแรกที่พบหลังจากออกจากประตูพิพิธภัณฑ์ คือ พระอาทิตย์ทรงกลด เหนือนครวาติกัน

เลือกร้านที่นั่งรับแดดอุ่นๆ ชมวิวข้างทางไปด้วย สั่งอาหารเพื่อเติมพลังในการเดินเที่ยวตลอดทั้งบ่ายวันนี้

เมื่อเติมแรงด้วยอาหารจานเด็ดกันแล้ว ก็ต้องรีบเดินเท้ากันต่อไปยัง จัตุรัสเซ็นต์ปีเตอร์ (Saint Peter's Square)

ชื่นชอบในสถาปัตยกรรมแบบอิตาลี ที่ก่อสร้างบ้านเรือนไปในแนวทางคล้ายๆ กัน

ดูมีเอกลักษณ์ซึ่งดูแล้วไม่ต้องมีรายละเอียดมาก แต่ดูกลมกลืนเข้ากันดี

แอบมีกระเป๋าแบรนด์เนมก๊อปของแท้ วางขายแบบไม่เกรงใจใคร

แล้วพวกเราก็เดินเข้ามายัง จัตุรัสเซ็นต์ปีเตอร์ ซึ่งก็มีคิวยืนรอกันพอสมควร แต่แถวก็เคลื่อนไปเรื่อยๆ

ซึ่งทุกคนในที่นี้ มีเป้าหมายเดียวกัน คือ เข้าไปชมมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ หรือ บาซิลิกา ดิ ซานปิเอโตร (Basilica di San Pietro) ซึ่งสร้างขึ้นในจุดที่พบหลุมฝังศพเซ็นต์ปีเตอร์ บนสนามกีฬาเซอร์โค วาติกาโน (Circus Vatican)

น้ำพุในภาพนี้ สร้างโดยสถาปนิก คาร์โล มาร์แตร์โน (Carlo Madermo) ในปี ค.ศ. 1586 เคยเห็นจัตุรัสนี้จากภาพ และสารคดีท่องเที่ยว รวมทั้งเวลาที่มีพิธีการของพระสันตะปาปาพระองค์ต่างๆ ซึ่งดีใจที่ได้มาชมในสถานที่จริง

ทำให้ได้เห็นความยิ่งใหญ่ กว้างใหญ่ของ จัตุรัสเซ็นต์ปีเตอร์ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1656-1667 เป็นลานกว้างผลงานการออกแบบของ แบร์นีนี ซึ่งจัดวางเสาตรงทางเดินทั้งสองข้างให้เป็นรูปวงรี

เปรียบเสมือนแขนที่กางออก เพื่อเชื้อเชิญผู้คนให้เข้าสู่ศรัทธา และยังรายล้อมไปด้วยอาคารต่างๆ ในพระราชวังวาติกันของพระสันตะปาปาซึ่งตั้งอยู่หลังมหาวิหาร

พวกเราเดินมาถึง มหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ อยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ขอพาเข้าไปชมภายในกัน

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไป ก็ต้องตื่นตะลึงกับความใหญ่โตอลังการของมหาวิหาร

ด้านในของมหาวิหารมีความยาว 186 เมตร ว่ากันว่าสามารถจุคนได้มากถึง 60,000 คน

พื้นและผนังปูด้วยหินอ่อน ซึ่งประดับด้วยผลงานศิลปะเลอค่า ล้ำค่า เหนือคำบรรยาย

โดยรูปปั้นที่สำคัญมี 3 ชิ้น ที่ต้องขอชมเป็นบุญตา ก็คือ (1) The Pieta (เวทนาอาดูร) รูปสลักหินอ่อนของพระแม่มารีอุ้มพระศพพระเยซูไว้บนตักหลังจากถูกตึงกางเขน ให้ความรู้สึกเศร้าสลด และเป็นผลงานรูปสลักหินอ่อนชิ้นเอกชิ้นหนึ่งของไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) รูปด้านบนที่เห็นนี้ (2) Truth (ความสัตย์จริง) ผลงานของ Bernini ให้สังเกตที่หัวแม่เท้ามีรอยถูกหนามตำ (น่าเสียดาย ไม่ได้บันทึกภาพไว้)

(3) Saint Peter (นักบุญเปรโตร) รูปปั้นทองเหลือง ที่เชื่อกันว่าเป็นผลงานของ Arnolfo di Cambio (รูปปั้นองค์สีดำด้านบน) ซึ่งนักท่องเที่ยวและผู้ศรัทธาต่างต่อแถวเข้าไปลูบหรือจุตพิตหัวแม่เท้าของท่านจนสึกไปมากแล้ว เพื่อขอพรให้โชคดี

ไม่รู้จะบรรยายความงดงามอย่างไร

เพราะยุคสมัยคงไม่มีใครสร้างผลงานได้สวยงามยิ่งใหญ่แบบนี้ได้อีก

แสดงที่ลอดผ่านเข้ามา คงเป็นความฉลาดในการออกแบบสถาปัตยกรรม เพื่อให้แสดงจากธรรมชาติลอดผ่านเข้ามา

ช่วยให้เห็นสีทองเหลืองอร่ามได้ชัดเจน

เป็นการประสานทั้งงานสถาปัตยกรรม งานศิลปะ และงานช่างต่างๆ ให้เกิดมหาวิหารอันล้ำค่า ซึ่งได้มีสร้างวิหารใหญ่โตแห่งนี้ในศตวรรษที่ 16 สมัยพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2

ซึ่งใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 150 ปี โดยสถาปนิกและศิลปินอิตาลียุคเรอเนสซองซ์และบารอกหลายคน ซึ่งมีส่วนช่วยรังสรรค์ให้เป็นมหาวิหารที่ใหญ่โตที่สุดในโลกหลังนี้

ยอดโดมสูงกลางมหาวิหารนี้ เป็นฝีมือของไมเคิลแองเจโล (Michelangelo) เส้นผ่าศูนย์กลาง 43 เมตร สูงจากพื้น 132 เมตร

ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็งดงาม หาที่ติไม่ได้เลยจริงๆ

จุดที่สำคัญอีกจุด คือ ภาพเขียนกระจกสี "Gloria" ผลงานของแบร์นีนี เขียนไว้เมื่อปี ค.ศ. 1666 หากมองกึ่งกลางจะเป็นรูปนกพิราบสัญลักษณ์พระจิตอันศักดิ์สิทธิ์โอบล้อมด้วยแสงอาทิตย์

จากภาพนี้ จะมองเห็นความใหญ่โต เมื่อเทียบกับตัวคนที่อยู่ในภาพ

เชื่อว่าใครที่ชอบท่องเที่ยวและชมผลงานศิลปะ ต้องไม่พลาดมาชมที่มหาวิหารแห่งนี้ ที่สำคัญคือ อนุญาตให้ถ่ายภาพด้านในอีกด้วย

นำมาเผยแพร่เชิญชวนให้มาชมของจริงกัน

หากมีเวลาท่องเที่ยวเอง ค่อยๆ เก็บรายละเอียดไปเรื่อยๆ ศึกษาเรื่องราวและประวัติต่างๆ ที่น่าสนใจไปด้วย

หรือจะเก็บภาพกลับมาค้นคว้าหารายละเอียดเพิ่มเติม มาประกอบภาพและแบ่งปันกันในบล๊อก

เพื่อให้โลกกว้างใบนี้ เล็กลงเพราะเราได้รับข้อมูลจากการอ่าน การดูภาพ นำมาค้นคว้าข้อมูลเพิ่ม เพื่อเขียนเผยแพร่กันเพิ่มเติม

ต่างได้เรียนรู้จากการไปท่องเที่ยว นอกเหนือจากความสนุกสนาน

แต่เป็นความทรงจำที่นำมาถ่ายทอดและจดจำไว้ได้

และเหมือนทำให้ความฝัน ความตั้งใจได้เป็นจริง เริ่มจากได้เห็นภาพ แล้วได้มายังสถานที่แห่งนี้

ยังอยากกลับมาเที่ยวอีกเพราะยังมีอีกหลายจุดที่ยังไม่ได้เที่ยวชม รวมทั้งยอดโดมเพื่อชมทิวทัศน์จากมุมสูง ซึ่งต้องเดินขึ้นบันได 551 ขั้น หรือจะใช้ลิฟท์เพื่อออมแรงไว้

มองเห็น สวิสการ์ด (The Swiss Guard) คือ ทหารรักษาการณ์ประจำกรุงวาติกัน มีจำนวน 100 นาย และมีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1506 และเหตุที่เรียกว่า สวิสการ์ด เพราะทหารเหล่านี้เป็นชาวสวิสเซอร์แลนด์ พวกเชามีหน้าที่เป็นองค์รักษ์ให้กับพระสันตะปาปาในยามเสด็จออกนอกพระราชวัง รวมทั้ง รักษาตรวจตรารักษาความปลอดภัยโดยรอบกรุงวาติกัน พวกเขาสวมใส่ชุดทหารรักษาพระองค์ที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าเป็นฝีมือออกแบบของ ไมเคิลแองเจโล แต่บางคนบอกว่าน่าจะเป็นผลงานการออกแบบของ ราฟาเอล ซึ่งพัฒนามาจากภาพวาดของเขาตามศิลปะเรอเนสซองซ์

แล้วมาติดตามกันต่อนะ ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกหลากหลาย