ตั้งใจไว้นานแล้วที่อยากไปเที่ยวฮอกไกโด ซึ่งเข้าใจมาตลอดว่า ต้องไปเที่ยวช่วงฤดูหนาวเพื่อไปชมหิมะขาวละเอียดเหมือนปุยนุ่น แต่ทว่าชวนเพื่อนคนไหนก็ส่ายหน้ากันหมดเพราะกลัวหนาว หรือไม่ก็ไปชมทุ่งดอกไม้ในฤดูร้อนก็มีบางคนบ่นว่าอากาศร้อนมากเหมือนบ้านเรา ยอมรับว่าไปท่องเที่ยวที่ไหน จะขอเจออากาศเย็นสบายเป็นข้อแรกเสมอก็เลยไม่ได้ไปตามฝัน
แต่พอมีคนชวนไปเที่ยวฮอกไกโดช่วงฤดูใบไม้ผลิ ในตอนแรกไม่ค่อยแน่ใจว่าจะไปดูอะไร เพราะหิมะก็เริ่มละลายแล้วจะไปดูอะไรล่ะเนี่ย ซึ่งพอได้ดูโปรแกรมท่องเที่ยวแล้วก็รู้สึกน่าสนใจและตอบตกลงทันที
ในทริปนี้จะเน้นเที่ยวชมสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ถึง 5 แห่ง แช่ออนเซ็น 3 แห่ง กินอาหารดี พักสบาย จึงถือโอกาสไปพักร้อนช่วงกลางเดือนพฤษภาคม โดยที่อากาศที่ฮอกไกโด ยังเย็นสบายและปีนี้อากาศยังหนาวอยู่แม้จะเข้ามาช่วงหลังฤดูหนาวนี้แล้ว
แม้ว่าจะไม่ได้ชื่นชอบการชมหรือถ่ายรูปต้นไม้ดอกไม้นัก แต่พอมาเจอกับบรรยากาศและสีสันแบบนี้ ก็อดทึ่งในความงามของธรรมชาติที่สร้างสรรค์โดยฝีมือมนุษย์ไม่ได้ อีกทั้งยังไม่เคยไปเที่ยวชมดอกพิงค์มอสแบบนี้มาก่อน เคยแต่เห็นแค่กองเล็ก ก็มองผ่านไปเพราะคิดว่าเป็นแค่ดอกหญ้าเท่านั้น
แต่สำหรับที่นี่ Nonky Land Higashimokoto Hokkaido หรือ Higashimokoto Shibazakura Park ทำเอาตื่นตะลึงไปเลยว่า ทำได้ไงเนี่ย!
สวนแห่งนี้ตั้งอยู่ในเชิงเขา Mt. Mokoto ซึ่งห่างจากใจกลางเมือง ฮิกะชิโมโกโตะ ราว 8 กิโลเมตร
ขอแนะนำให้นั่งรถบัสขนาดเล็กที่ทางสวนจัดไว้บริการ (ค่าตั๋ว 300 เยน) นั่งจากบริเวณยอดทิวเขา เพื่อชมภาพจากมุมสูง แล้วค่อยเดินลัดเลาะลงมา
ถือโอกาสใช้ Facebook Live ถ่ายทอดสดให้เพื่อนๆ ได้ชม ระหว่างนั่งรถบัสขึ้นมายอดเขา เหมือนได้ท่องเที่ยวไปด้วยกัน
การเดินทางมาค่อนข้างยาก หากบินจากสนามบิน Shin-Shitose มายังสนามบิน Memanbetsu สามารถนั่งรถบัสหรือเช่ารถขับ มาอีกราว 25 กิโลเมตร ซึ่งทริปนี้ผมใช้การเดินทางกับทัวร์ แต่ก็แยกตั๋วเพื่ออยู่เที่ยวต่อเองอีก 3 วัน ทำให้ได้เที่ยวบริเวณทิศตะวันออก และทิศเหนือ ของเกาะฮอกไกโด ได้เต็มที่
ลองเอาโทรศัพท์มือถือถ่ายมุมเงยดูบ้าง เพื่อให้เห็นดอกพิงค์มอสได้ใกล้ๆ
ซึ่งการเที่ยวชมชิบะซากุระ (Shibazakura) หรือ "Moss Phlox" หรือที่คนไทยจะเรียกกันว่า "พิ้งค์มอส" ที่สวนแห่งนี้ ซึ่งมีพื้นที่ราว 100,000 ตารางเมตร จะอยู่ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ถึง มิถุนายน เท่านั้น
เพิ่งทราบว่า คำว่า "พิงค์มอส" นั้น เกิดจากคนไทยใช้เรียกกัน แต่คนญี่ปุ่นจะไม่รู้จักคำว่า "พิงค์มอส" นะ จะเรียกกันว่า "ชิบะซากุระ" ด้วยเหตุที่เป็นดอกหญ้าและมีกลีบบางคล้ายซากุระนั่นเอง มีหลายสี ได้แก่ ชมพูอ่อน, ชมพูเข้ม และ ขาว
ก่อนเดินทางมาที่นี่ ได้ติดตาม Facebook Live ของ ฮอกไกโดแฟนคลับ (HokkaidoFanClub) ก็ถ่ายทอดสดสวนแห่งนี้ที่ดอกบานเพียง 50% ทำให้ลุ้นว่า หากมาชมในสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไรบ้าง
ต้องบอกเลยว่า ดีใจมากที่ดอกบานกว่า 90% ได้เห็นสีสันแบบเต็มที่ และท้องฟ้าก็สวยพอดี ซึ่งสัปดาห์ที่แล้วฝนตกเกือบทุกวัน จึงถือว่าโชคดีสุดๆ
ทำเอาบล๊อกเกอร์หน้าบานตามดอกชิบะซากุระไปด้วย
เดินเพลินไปเรื่อยๆ ใช้เวลาอย่างเต็มที่ เพื่อเก็บภาพบรรยากาศโดยรอบ ซึ่งฮอกไกโดขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของธรรมชาติ อากาศดี อาหารดี
ต้องทึ่งในความเก่งของชาวญี่ปุ่นที่เข้าใจปลูกและจัดการให้ดอกบานได้พร้อมเพรียงกันแบบนี้ ซึ่งดอกชนิดนี้บานไม่นานราว 1-2 สัปดาห์ ก็จะเริ่มโรยรา ลดทอนความงามลงไปเรื่อยๆ
ได้จังหวะที่ดี ก็มีคู่รักมาถ่ายภาพประทับใจกัน
ปล่อยให้เราทำตาปริบๆ ตาร้อนผ่าวอยู่ตรงนี้
และก็เดินก้าวต่อไปโดยลำพัง
ณ ดินแดนสวรรค์บนดิน ถิ่นฮอกไกโดต่อไป
มีบริการ Go Kart ให้ขับด้วยนะ
น่าจะเป็นเส้นทาง Ko Cart ที่สวยที่สุดในโลกก็ว่าได้
สำหรับผู้ที่อยากชมสวนแห่งนี้แบบ Bird 's Eyes View ก็สามารถขึ้นบินด้วยเฮลิคอปเตอร์ ก็มีให้บริการอยู่ใกล้ๆ
สวนแห่งนี้เปิดให้ชมระหว่างวันที่ 3 พฤษภาคม - 5 มิถุนายน ของปีนี้ ค่าบัตรเข้าชมอยู่ที่ 500 เยน และเปิดระหว่างเวลา 8.00-17.00 น.
ดังนั้นใครที่จะมาเที่ยวชม คงต้องวางแผนวันให้ดี อย่างบล๊อกเกอร์มาเที่ยวชมในวันที่ 19 พฤษภาคม ซึ่งถือว่าอยู่ในช่วงกลางๆ ของการเปิดให้ชมพอดี ซึ่งจะเป็นช่วงที่สวยที่สุดแบบ Full Bloom แล้ว
และโชคดีที่ได้ฟ้าสวย ไม่มีฝนตก แถมแดดอุ่นๆ เพิ่มสีสันเต็มที่
ทำให้สนุกกับการถ่ายภาพด้วยโทรศัพท์มือถืออย่างมาก
และต้องขอถ่ายภาพวิดีโอมาฝากกันด้วย ให้เห็นบรรยากาศโดยรอบ
ประทับใจในการเที่ยวฮอกไกโดในฤดูใบไม้ผลิอย่างเต็มที่
ลองคิดถึงบ้านเรา หากมีการเปลี่ยนจากภูเขาหัวโล้น มาปลูกไม้ดอกบ้างจะเป็นไปได้หรือไม่?
อย่างน้อยคือ ช่วยให้ตระหนักถึงคุณค่าของป่าไม้ ซึ่งนับวันจะร่อยหรอลง
ซึ่งได้ยินตรรกะการเผาป่า ตัดไม้ทำลายป่า เพื่อปลูกข้าวโพด ทำไร่ หรือปรับสภาพดินเพื่อเพาะปลูก ฟังแล้วงงจริงๆ กว่าต้นไม้สักต้นจะสูงใหญ่มันไม่ได้ง่าย
และยิ่งสภาวะภัยแล้งแบบนี้ จะปลูกป่าขึ้นใหม่ได้อย่างไร ด้วยความมักง่ายหรือเห็นแก่ตัวของคน ทำให้เดือดร้อนกันไปหมด
แต่ก็ดีใจที่ทุกภาคส่วนหันมาร่วมมือกันพลิกพื้นผืนป่ากันอย่างจริงจัง รวมไปถึงการทวงคืนที่ดินอีกมากมาย
วกไปเรื่องป่าไม้ได้อย่างไร ขอกลับมาที่ Nonky Land ตามเดิม
แผนผังแสดงจุดต่างๆ ภายในบริเวณอันกว้างใหญ่นี้ โดยเริ่มจากการนำต้นพิงค์มอสจากเมือง Rubeshibe (留辺蘂) มาปลูกที่เมือง Higashimokoto (東藻琴)แห่งนี้ และทำเป็นสวนขนาดใหญ่ให้เที่ยวชมในแต่ละปีแค่ช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนเท่านั้น
ยังสามารถเข้าไปดูลิงค์ของสถานที่แห่งนี้ได้จาก http://www.shibazakura.net เผื่อเป็นข้อมูลในการมาท่องเที่ยวฮอกไกโดช่วงฤดูใบไม้ผลิกันนะ
ข้อมูลเพิ่มเติม