Disable Preloader




เที่ยวเกาะเชจู เกาะแห่งภูเขาไฟ มรดกโลกทางธรรมชาติ : ตอนที่ 2

ในวันที่สองของการท่องเที่ยวในเกาะเชจูแห่งนี้ เรายังมีโปรแกรมเที่ยวชมแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติกันอีก จุดหมายแรกในวันนี้ คือ อ่าวซอพจิโกจิ Seopjikoji (섭지코지) ซึ่งอ่าวนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกสุดของเกาะเชจู ซึ่งมีชื่อเก่าที่เรียกขานว่า "Seopji" ส่วนคำว่า "Koji" เป็นภาษาท้องถิ่นของเชจู หมายถึง อ่าวขนาดเล็ก

พวกเราเดินขึ้นเนินเขาซึ่งไม่สูงนัก กับอากาศลมเย็นจากทะเล เพิ่มพลังออกซิเจนบริสุทธิ์ให้เดินขึ้นได้อย่างสบาย

ด้วยความที่ไม่ใช่สาวกละครซีรีส์เกาหลีตัวจริง จึงต้องไปค้นคว้าหาข้อมูลซักหน่อยว่า สถานที่แห่งนี้อยู่ในละครเรื่อง "All in" หรือชื่อไทยว่า "เทหน้าตักรักหมดใจ" ขอนำภาพไกด์หน้าตาดี น่ารักของพวกเรา มาประกอบฉากซักหน่อย ... แช๊ะ!

มองเห็นบ้าน-โบสถ์อยู่ไม่ไกลนั้น มีชื่อว่า All-In House แต่ก็แค่เดินผ่าน เพราะจุดหมายที่แท้จริงของพวกเราคือ ประภาคาร ที่มองเห็นอยู่ไกลๆ นั้น

สถานที่ท่องเที่ยวของเกาหลี มักจะมีเรื่องราวเพื่อให้น่าสนใจอย่างบริเวณนี้ก็เช่นกัน มีนิทานปรัมปราเล่าว่า ลูกของกษัตริย์รักกับปีศาจแห่งทะเล แต่เมื่อผิดหวังจากความรัก เพราะสาวเจ้ามาตามนัดไม่ได้เนื่องจากติดพายุ จึงยอมตายกลายเป็นโขดหินอยู่บริเวณอ่าวที่พบรักแห่งนี้

แต่วันที่มาเที่ยว อากาศดีมีแสงแดด และลมพัดเย็นสบายมากๆ

เดินไปชมวิวทะเลไป มองเห็นหินรูปร่างประหลายเหล่านี้โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่น้ำลง

ในช่วงเดือนเมษายนจะมี ดอกยูแจ (유채꽃) หรือ ดอกเรป (Rapeseed Flower) ขึ้นอยู่มีสีเหลืองไปทั้งทุ่ง แต่ช่วงที่พวกเรามาเกือบปลายเดือนแล้ว จึงเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้นอย่างที่เห็นในภาพ

มีที่ให้เช่าขี่ม้า หรือรถม้า ชมบรรยากาศสุดโรแมนติคบริเวณนี้ได้อย่างดี

แต่พวกเราขอใช้แรงขา พาตัวเองขึ้นบันไดไปทีละขั้น

ไม่นานนักก็มาถึงจุดหมายที่ประภาคารหลังนั้น ซึ่งทำให้เราสามารถมองเห็นภาพวิวได้รอบแบบ 360 องศา

ระหว่างเดินกลับไปยังรถ แวะเก็บภาพปล่องควันส่งสัญญาณ (Hyeopja Smoke Mound) ซึ่งเป็น 1 ในจำนวน 38 ปล่องควันบนเกาะเชจูแห่งนี้ ทำงานร่วมกันแบบเครือข่าย ซึ่งไว้ใช้เพื่อเตือนการถูกรุกรานโดยข้าศึก รวมไปถึงการแจ้งเหตุฉุกเฉินต่างๆ ในสมัยโบราณ

สิ่งที่ได้จากการเก็บบันทึกภาพแล้วกลับมาค้นคว้าหาข้อมูล รวมทั้งการถ่ายป้ายบอกประวัติของสถานที่นั้นๆ มีประโยชน์มากในการเขียนบล๊อก เพราะบางครั้งก็แค่เดินผ่านไป ไม่ได้สนใจ หรือไม่มีเวลาที่จะไปยืนอ่านป้าย แต่เมื่อเรากลับมาก็สามารถเปิดภาพเหล่านั้นเพื่ออ่านรายละเอียด และนำมาเขียนถ่ายทอดต่อ ยังช่วยให้เราสามารถจดจำประวัติและรายละเอียดของสถานที่นั้นๆ ได้ดีกว่าการอ่านเพียงอย่างเดียว จึงอยากให้แนะนำให้ลองถ่ายป้ายบอกเล่าเรื่องราว หรือแม้กระทั่งป้ายชื่อสถานที่กลับมาด้วย หากเราไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่างๆ

เป็นความสุขในการเขียนบันทึกการเดินทาง และปัจจุบันยังสนุกกับการเช็คอินไว้ในแผนที่ของ Facebook และ Instagram อีกด้วย

ในสถานที่นี้ยังมีชื่อเสียงเรื่องความสดอร่อยของปลาหมึกย่าง ฝีมือของอาจุมมา (ได้ยินบ่อยๆ ในละครเกาหลี) หรือ คุณป้าเหล่านี้ ด้วยความหวานของปลาหมึกย่างที่สด ร้อนกำลังพองมือ ฟินได้ที่เมื่อกระทบลิ้น อืมม!

จาก อ่าวซอพจิโกจิ พวกเราก็ต้องเดินทางไปยังไฮไลต์อีกอย่างของการมาเที่ยวที่เกาะเชจู นั่นก็คือ การเดินขึ้นไปพิชิตปากปล่องภูเขาไฟซองซาน อิลชูบอง Seongsan Ilchulbong Peak [UNESCO World Heritage] (성산일출봉) หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "Sunrise Peak" ซึ่งความจริงแล้ว บนเกาะเชจูนั้นมีปากปล่องภูเขาไฟถึง 3 ปล่องด้วยกัน

ซึ่งปล่องภูเขาไฟนี้เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟใต้ทะเล เมื่อราว 100,000 ปีก่อน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะเชจู

ด้วยความสูงประมาณ 600 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งยังไงก็ตั้งใจจะมาพิชิตยอดปล่องภูเขาไฟให้ได้ในทริปนี้

เดินไปก็หยุดเพื่อถ่ายภาพมุมสูงบ้าง แต่ความจริงแล้ว หยุดเพื่อหอบมากกว่า ดีที่อากาศเย็นสบาย แต่ทว่าเสื้อกันหนาวที่สวมมานั้น ถูกนำมาผูกเอวซะแล้ว เพราะเหงื่อออกท่วมตัว

แผ่นป้ายจะแสดงให้เห็นสภาพความเปลี่ยนแปลงของทะเล Seongsan เมื่อประมาณ 5,000 ปีก่อน จะเป็นปากปล่องขนาดใหญ่จากการปะทุครั้งนั้น แต่เมื่อผ่านกาลเวลานับพันปี ได้ถูกคลื่นซัดและตะกอนทับถมทำให้กินพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ ทำให้บริเวณทีปะทุนั้นก็เชื่อมเข้ากับบริเวณแผ่นดินของเกาะเชจูในปัจจุบัน

นี่เราเดินขึ้นมาไกลมาก แต่ยิ่งสูง ยิ่งสวย

ไม่นานนักจากจุดนั้น เราก็มาถึงปากปล่องภูเขาไฟ ที่สำคัญลมแรงมากๆ ยืนตัวแทบปลิว

ขอมาถ่ายภาพผู้พิชิต Sunrise Peak หรือ ปากปล่องภูเขาไฟซองซาน อิลชูบอง

ใช้เวลากันพอสมควรพร้อมทั้งยกข้อมือดูเวลาว่า เราจะใช้เวลาอีกเท่าไร เพื่อกลับไปยังจุดนัดพบ

ซึ่งต้องเร่งฝีเท้ากันพอสมควร แต่อดไม่ได้ที่จะเก็บภาพไปเรื่อยๆ

ต้องขอชื่นชมว่าเขาทำเส้นทางเดินได้ดีมาก ซึ่งมีทั้งทางขึ้นและทางลง ทำให้ไม่ต้องเดินสวนกันเหมือนสถานที่เที่ยวหลายๆ แห่งในบ้านเรา ซึ่งทำให้การจราจรติดขัด อีกทั้งวิวทางขึ้นและทางลงยังไม่ซ้ำกันอีกด้วย จึงอยากฝากให้นำมาปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวในบ้านเราดูบ้าง เพราะจากการเก็บค่าผ่านเข้าไปท่องเที่ยว ก็น่าจะนำมาพัฒนาสถานที่ให้ดี สวยงาม และปลอดภัยแก่ผู้มาเยือน

มองอีกมุมหนึ่งด้านข้างของปล่อง ซึ่งติดกับทะเล Seongsan

ที่ลืมย้ำอีกครั้งก็คือ สถานที่แห่งนี้ได้รับการยอมรับเป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO อีกด้วย

โปรแกรมต่อจากนี้ พวกเราจะไปรับประทานอาหารกลางวันกัน ซึ่งอย่างที่บอกว่าเราเดินทางมาเกือบจะปลายเดือนเมษายน ซึ่งไม่เหลือทุ่งดอกยูแจ (유채꽃) หรือ ดอกเรป (Rapeseed Flower) ให้ได้ชื่นชมกันแล้ว

ไกด์และคนขับรถก็ใจดี จัดให้ถ่ายกับทุ่งดอกหัวไชเท้า แทนแล้วกัน ... อยากขำ แต่ก็เป็นประสบการณ์ใหม่นะ ก็ต้องขอบคุณคนขับรถและไกด์ไว้ ณ ที่นี้

แต่ก็เหลือบไปเห็นดอกยูแจ (유채꽃) อยู่เล็กน้อย จึงขอเดินไปเก็บภาพกันไว้

หลังจากอิ่มหนำสำราญกับอาหารกลางวัน เราก็ไปเที่ยวกันต่อที่ หมู่บ้านวัฒนธรรมซงอับ หรือ Jeju Folk Village Museum (제주민속촌박물관) ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน ช่วยให้เราได้มองย้อนกลับไปยังสภาพบ้านเรือนเก่าเมื่อยุคประมาณ ค.ศ. 1890

มองเห็นถึงลักษณะของการวางไม้ 3 ท่อนที่พาดแทนประตูบ้าน ซึ่งการวางตำแหน่งไม่จะบ่งบอกว่า มีคนอยู่บ้านหรือไม่? แต่การวางแบบในภาพนี้ จะเป็นการบอกว่า ยินดีต้อนรับเข้าบ้าน

มีคนนำไปตามจุดต่างๆ และอธิบายรายละเอียดในมุมต่างๆ อย่างเช่น ห้องครัวต้องสร้างอย่างไร เพื่อไม่ให้ควันจากการทำอาหารลอยขึ้นสูง เพื่อไม่ให้เป็นการส่งสัญญาณให้ข้าศึกที่จะมารุกรานทราบว่า อยู่ที่จุดไหนบ้างบนเกาะ เป็นต้น

มีสัญลักษณ์ "หินปู่" ซึ่งเห็นอยู่ทั่วไปในเกาะเชจูแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเชจูก็ว่าได้ เรียกตามภาษาเกาหลีว่า "ทอลฮารุบัง" และ เ"ฮียนโย ทอลฮารุ บัง" เป็นรูปปั้นทำจากหินลาวาสลักเป็นรูปคนแก่ใจดี ในสมัยก่อนรูปปั้นทำหน้าที่คุ้มครองสถานที่ต่างๆ

หลังจากนั้น เราก็ยังมีจุดท่องเที่ยวอีกแห่งในเย็นวันนี้ คือ ยงดูอัมร็อค หรือ โขดหินรูปหัวมังกร Yongduam Rock (Dragon Head Rock) (용두암) บางตำนานเล่าว่า มังกรได้ขโมยหยกล้ำค่าจากภูเขา Halla และถูกยิงด้วยธนูทำให้ตกลงสู่ทะเลที่จุดนี้

เป็นอีกหนึ่งในมนต์เสน่ห์ ทางธรรมชาติของเกาะเชจู ซึ่งถือกันว่าหากใครไม่ได้มาเยือนยงดูอัมร็อค ก็ถือว่ายังมาไม่ถึงเกาะเชจู ซึ่งโขดหินแห่งนี้เกิดขึ้นจากการกัดกร่อนของคลื่นลมทะเล ทำให้มีรูปทรงลักษณะเหมือนหัวมังกร กำลังอ้าปากส่งเสียงร้องคำรามและพยายามที่จะผุดขึ้นจากท้องทะเล เพื่อขึ้นสู่ท้องฟ้า เชื่อกันว่าส่วนหางยาวไปถึงเมืองปูซาน Busan (부산) และเป็นประติมากรรมที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค์มาให้ได้อย่างน่าดูชม

แถมพวกเรายังได้ยืนชม เครื่องบินร่อนลงสู่รันเวย์ โดยสนามบินของเกาะเชจูนี้ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะ

แต่ทว่าพวกเราพักอยู่ใต้สุดของเกาะเชจู ซึ่งการเดินทางนั้นไม่ไกลจนเกินไป จะไปไหนมาไหนในเกาะแทบจะเรียกได้ว่าเล็กกว่ากรุงเทพฯ ซะอีก และถนนหนทางดี รถก็ไม่ติดอีกด้วย

และการมาท่องเที่ยวในโปรแกรม 3 วันเต็ม และนอน 2 คืนในโรงแรมเดียว สะดวกมาก และยามค่ำคืนยังได้เดินเที่ยวตลาดซึ่งขายอาหารทะเลสดๆ ผลไม้ต่างๆ และอยากแนะนำให้ทาน "ส้มจุก" ของดีเมืองเชจูแห่งนี้ อร่อยมากไม่เหมือนใคร หรือเป็นของฝากก็ประทับใจผู้รับ

ซึ่งในวันที่สามของทริป ไม่มีโปรแกรมท่องเที่ยวธรรมชาติอะไร เก็บไว้ให้ช๊อปปิ้งตลอดทั้งวัน หากถามว่าคุ้มค่ากับการท่องเที่ยวหรือไม่ ขอตอบว่าคุ้มมากๆ ทั้งอากาศเย็นสบายในช่วงฤดูใบไม้ผลิ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่หลากหลาย อาหารที่อร่อยถูกปาก และค่าใช้จ่ายที่ยอมรับได้สบาย จึงทำให้เป็นทริปที่สนุกกับเพื่อนๆ ได้รับประสบการณ์ใหม่ในการท่องเที่ยว

ซึ่งมั่นใจว่าจะขอกล่าวคำว่า "Wanna see you again ... Jeju ... Love to see you too" ได้จริงๆ ซึ่งยังมีที่ท่องเที่ยวอีกจำนวนมาก และยังไม่ได้ไปในเกาะเชจูแห่งนี้ ไว้พบกันใหม่นะ ... เชจู