เมื่อต้นเดือนนี้ ได้มีโอกาสเดินทางมาท่องเที่ยวลาวใต้อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นการมาทัศนาจรกันทั้งบริษัทฯ ในบรรยากาศสนุกสนานกับเพื่อนร่วมงาน มายังดินแดนที่เต็มไปด้วยความงามของธรรมชาติ และแหล่งอารยธรรมโบราณ กับภารกิจพิชิต 4+1 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวลาวใต้
หลังจากผ่านด่านที่ช่องเม็ก จ.อุบลราชธานี รถบัสของเราก็มุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองปากเซ แขวงจำปาสัก และเริ่มการท่องเที่ยวในทันที ซึ่งน้ำตกแห่งแรกที่มาเที่ยวชม คือ น้ำตกตาดผาส่วม
เคยเขียนเรื่องราวของสถานที่แห่งนี้ไว้โดยละเอียดแล้ว จึงขอฝากลิงค์ไปยังเอนทรีก่อนหน้านี้ดีกว่า กดที่นี่เพื่ออ่าน "น้ำตกผาส้วม" น้ำตกที่โด่งดังในลาว ฝีมือการออกแบบโดยคนไทย
มาในครั้งนี้ ก็ยังประทับใจในความสวยงามเช่นเดิม
ซึ่งในบ่ายวันนี้ เรายังต้องไปเที่ยวชมน้ำตกแห่งที่สอง หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงกันอย่างเอร็ดอร่อย ก็ได้เวลาเดินย่อยกัน
ภาพแรกที่ได้เห็น น้ำตกตาดฟาน แห่งนี้ ต้องร้องอุทานว่า "โอ้โห" เพราะถือเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดของประเทศลาว ด้วยความสูงถึง 200 เมตร
แม้จะเป็นช่วงฤดูร้อน แต่ก็ยังมีน้ำตกอย่างแรง ซึ่งบริเวณนี้มีสภาพอากาศชื้นและเย็นตลอดปี
น้ำตกตาดฟาน เป็นน้ำตกที่เกิดจากการไหลรวมกันของสายน้ำจากภูเขา 2 ลูก และมีน้ำไหลตลอดทั้งปี
ต้องบอกว่าา ประทับใจที่ความงามของน้ำตกท่ามกลางขุนเขาอย่างแท้จริง
ทำให้นึกไปว่า อีกหน่อยหากเราคนไทยอยากชมน้ำตก อาจจะต้องเดินทางมาชมที่ประเทศเพื่อนบ้าน เพราะน้ำตกบ้านเราหน้าแล้งก็เหือดแห้ง หน้าฝนก็น้ำป่าไหลมา แล้วจะมีโอกาสไปชื่นชมได้อย่างไร
ในวันที่สองการของการเดินทาง เราก็มีภารกิจไปชมอีก 2 น้ำตก ซึ่งน้ำตกแห่งที่ 3 ของทริปนี้ คือ น้ำตกหลี่ผี แต่การเดินทางนั้น เราต้องลงเรือล่องมหานทีสี่พันดอน เพื่อไปยังดอนคอนและดอนเดช
ที่ได้ชื่อว่า สี่พันดอน เนื่องจากมีเกาะแก่งจำนวนมาก และยังมองเห็นตอม่อผูกเรือ สมัยที่ฝรั่งเศสยึดครองอยู่ เมื่อเรือเทียบท่า พวกเราก็ขึ้นรถเพื่อเดินทางกันต่อ
มองเห็นสะพานเก่าซึ่งสมัยก่อนรถไฟนี้จะแล่นข้ามไปมา จากดอนคอน ไปดอนเดช
เมื่อเสียค่าปี้ ได้ตั๋วมาแล้ว เราก็เดินเข้าสู่บริเวณ น้ำตกหลี่ผี ... ตามมา แล้วฉันจะพาไป
ชื่อ หลี่ผี นั้นมีความหมายดังนี้ หลี่ คือ เครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายลอบ ซึ่งบริเวณร่องหินของน้ำตกแห่งนี้ จะมีกระแสน้ำไหลบ่าตามพื้นที่ราบผ่านแผ่นหิน แล้วไหลตกลงในซอกเขาที่แตกออกจากกัน
สายน้ำมีสีเขียวในหน้าแล้ง หรือสีชาในหน้าฝน ซึ่งไหลบ่าลงมายังเบื้องล่าง
บริเวณนี้กระแสน้ำจะไหลมารวมตัวกันเป็นแอ่งขนาดใหญ่ จากนั้นน้ำจะวนไปมาแล้วไหลตกลงไปด้านล่างผ่านซอกและหินหลืบแคบๆ ทำให้ศพของทหารในสมัยสงครามอินโดจีนจำนวนมาก ลอยมาติดในหลี่จับปลาของชาวบ้าน จึงเรียกน้ำตกแห่งนี้ว่า "หลี่ผี" นั่นเอง
ได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำโขง ที่สร้างสรรค์ความงามจากธรรมชาติ นอกเหนือจากเพียงแค่แม่น้ำที่สำคัญ
ไม่ไกลจาก หลี่ผี พวกเราก็เดินทางมายัง น้ำตกคอนพะเพ็ง ซึ่งได้เคยเขียนเรื่องราวไว้แล้ว จึงขอให้กดลิงค์ไปอ่านเรื่องราวจากเอนทรีนี้ "คอนพะเพ็ง" ไข่มุกแม่น้ำโขง ไนแองการ่าแห่งเอเชีย ขอเชียร์ให้ไปชม
ในครั้งนี้พอมีเวลา จึงเดินทางไปข้างล่าง เพื่อไปสัมผัสความยิ่งใหญ่กันใกล้ๆ
ยอมรับว่าอันตราย แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก เพื่อได้ภาพประทับใจแบบใกล้ๆ
เป็นที่น่าเสียดายที่ครั้งนี้ "ต้นมณีโคตร" ที่ขึ้นอยู่กลางลำน้ำโขงได้ถูกกระแสน้ำพัดหายไปแล้ว
ยิ่งใหญ่ อลังการ สมกับคำว่า "ไนแองการ่าแห่งเอเชีย" จริงๆ
หลังจากที่ได้ท่องเที่ยวทั้ง 4 น้ำตกแล้ว ในวันนี้เราจะได้ไปเที่ยวแหล่งมรดกโลกที่น่าสนใจอีกแห่ง ซึ่งเช้าวันนี้ ฟ้าสวยตอนตีห้ากว่าๆ จนรู้สึกว่า ทำไมเช้าเร็วจัง
บรรยากาศริมแม่น้ำโขง ด้านหลังโรงแรม สวยสดงดงามจริงๆ
เช้าวันที่สามของการเดินทาง พวกเราก็มาถึง ปราสาทหินวัดพู ในช่วงเช้า เพื่อจะได้สัมผัสกับอากาศที่ไม่ร้อนนัก
ได้รับการรับรองและขึ้นทะเบียนจากองค์การ UNESCO เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2545 ว่าเป็นสถานที่เมืองมรดกโลก และเป็นแห่งที่สองของลาว นับจากหลวงพระบาง
เชื่อกันว่า ปราสาทวัดพู แห่งนี้ เป็นเทวสถานขอม คล้ายกับเขาพระวิหาร ณ ปราสาทวัดพูแห่งนี้ ได้สร้างก่อน อังกอร์วัด (นครวัด) ประเทศเขมร ในราวพุทธศตวรรษที่ 12 ในสมัยของพระเจ้ามเหนทรวรมัน โดยใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่บูชาเทพเจ้า ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูเป็นเวลานานหลายปี
ศิลปะต่าง ๆ เหมือนกันกับศิลปะที่ อังกอร์วัด (นครวัด) โดยแบ่งเป็นชั้นบันไดตามภูเขา จนถึงปราสาทข้างบน
สถานที่ต่างๆ เช่น ที่ทำพิธีกรรม เช่นไหว้ต่อเทพเจ้าฮินดู โดยใช้ชีวิตมนุษย์ผู้มีพรหมจรรย์ ชาย หญิง เป็นเครื่องเซ่น ตามความเชื่อของลัทธิ ของฮินดู ก็ยังมีให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน ต่อมาประเทศลาวได้รับพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศ เทวสถานแห่งนี้ได้เป็นวัดของพุทธศาสนานิกายเถรวาท มาจนถึงวันนี้
กว่าจะเดินขึ้นมาถึงข้างบน ทำเอาสะบักสะบอมไปตามๆ กัน ได้มาสักการะพระพุทธรูปข้างบน และรับน้ำศักดิ์สิทธิ์ ความเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ยังได้ชมความงามของศิลปะโบราณอีกด้วย
มองจากมุมสูง เห็นได้ทั่วบริเวณ นับเป็นทริปที่ได้ชื่นชมทั้งธรรมชาติ และแหล่งอารยธรรม อีกทั้งความสนุกสนานจากการร่วมทริปของเพื่อนๆ และคอยพบกับทริปต่อๆ ไปอีกนะ