วันสงกรานต์หยุดยาวที่ผ่านมา หนีร้อนไปเป็นชาวเกาะซัก 4 วัน และเป็นการไปอัพเดทอะไรใหม่ๆ ที่สิงคโปร์ หลังจากที่ไม่ได้แวะเวียนไปนานถึง 7 ปี และครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 7 ที่มายังเกาะแห่งนี้ ซึ่งยอมรับว่า ครั้งนี้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปมากๆ
พอมาถึง ก็เจอเข้ากับสายฝนชุ่มฉ่ำ ดังที่ได้ดูพยากรณ์อากาศมาล่วงหน้า ซึ่งบอกว่ามีฝนตกทั้ง 4 วัน ... นี่เราจะต้องเปียกปอน ไม่ได้ถ่ายรูปดังที่ตั้งใจหรือนี่ ... ที่ไหนได้ วันที่เหลืออีก 3 วัน ฟ้าสวยเป็นใจให้เก็บภาพได้โดยไม่ผิดหวัง
มายืนหลบฝนใกล้ๆ กับเจ้าสิงโตพ่นน้ำ Merlion ซึ่งมองเห็นโรงแรมเรือ Marina Bay Sands ที่อยู่ตรงข้าม กับเรือนักท่องเที่ยวที่ล่องไปมาและล่องไปยัง Boat Quay
ซึ่งแผนที่วางไว้ คือ เราจะขึ้นไปบน Sands Sky Park ในช่วงเย็นของวันถัดไป ซึ่งไม่ผิดหวังเลย ... นั่งรถไฟใต้ดิน Circle Line มาลงยังสถานี CC4 Promenade เพื่อเดินข้ามถนนไปยัง Youth Olympic Park ซึ่งใครที่จะมาเที่ยวยัง Marina Bay Sands ในช่วงเย็น แนะนำให้มายังเส้นทางนี้
มองเห็นสถาปัตยกรรมที่ผมขอเรียกเองว่า "เปลือกส้มโอ" เหมือนกลีบเปลือกส้มโอที่ถูกปอกแล้ว โดยส่วนนี้จะเป็นพิพิธภัณฑ์ (The Artscience Museum) ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ "ทุเรียน" (Esplanade) ให้เดินถ่ายรูปไปได้สวยมากๆ
เราตั้งใจจะขึ้นไปบนเรือนั้นก่อนพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งมองเห็นคนพอสมควร ... เดินผ่านสะพานโครงเหล็ก "The Helix" เข้ามายังบริเวณอาคารของโรงแรม
ต้องทำเวลา เนื่องจากขณะนี้ 6 โมงกว่าแล้ว ซึ่งเรายังไม่ได้ซื้อตั๋วล่วงหน้าขึ้นไปชม Sands Sky Park เลย ... โชคดีที่ไม่มีคิวยาว
เดินเข้ามาบริเวณห้างแล้ว มองลงไปเห็นลานสเก็ตน้ำแข็งขนาดใหญ่
เราต้องรีบเดินต่อไปยังบริเวณที่ขายบัตรซึ่งอยู่ชั้น B1 ของอาคารใต้หัวเรือนั่นเอง
เดินผ่านคาสิโนแต่ไม่ได้เข้าไปหรอก แต่ได้เคยมีโอกาสเข้าไปคาสิโนที่ Sands, Las Vegas มาแล้ว 2 ครั้ง
ได้มาแล้ว คิดค่าเสียหายไป S$ 20.00 คิดเป็นเงินไทยประมาณ 500 บาท
เห็นฟ้าวันนี้ น่าจะคุ้มค่าแน่นอน ได้ภาพที่ประทับใจติดไม้ติดมือมา
จากชั้น B1 กดลิฟท์ไปยังชั้น 57 ใช้เวลานิดเดียว
ภาพแรกที่เห็น โอ้ว! พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า เกือบไม่ทันซะแล้ว
มองเห็นยอดตึกสูงอยู่ตรงหน้า กับดวงอาทิตย์กลมโตสีส้ม
มีผู้คนจับจองขอบรั้วกันเต็มไปหมด รวมทั้งเราก็ปักหลักตรงนี้ ไม่ไปไหนแล้ว กดชัตเตอร์อย่างเดียว
ทาง Sands Sky Park เขาห้ามใช้ขาตั้งกล้อง แต่เขาทำแท่นใสๆ สำหรับท้าวแขนได้ดีมากๆ ทำให้ได้ภาพที่ไม่สั่นไหว
เราก็มองหามุม จัดองค์ประกอบภาพไปด้วย .. แช๊ะ!
มุมนี้ มองเห็นโรงแรมเก่าแก่อย่าง The Fullerton Hotel อยู่ตรงหน้า, สิงโต Merlion กำลังพ่นน้ำ และ โรงละคร Esplanade ชัดเจน
ไม่ถึง 10 นาที พระอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้าไป
แต่ยังได้สัมผัสแสงสีของตึกสูงและเมืองในยามค่ำ มองเห็นชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ (Singapore Flyer) สูง 165 เมตร อยู่ข้างๆ พอดี
ได้สัมผัสแสงสีจากมุมสูงในยามค่ำคืนอย่างจุใจ ขอลงไปชั้นล่างเพื่อ ไปหาอะไรอร่อยๆ หม่ำกันก่อน แล้วจึงไปดูโชว์แสงสีริม Marina Bay กันต่อ
ระหว่างเดินจะมองเห็นการพายเรือ Sampan Rides ในห้าง ซึ่งเปรียบได้กับเวนิสของสิงค์โปร์
ขอกด "Like" ถูกใจกันหน่อย
ชื่นชอบในการผสานเก่าและใหม่ไว้ด้วยกัน ทำให้นึกย้อนถึงประวัติศาสตร์ของสถานที่นั้นๆ
เดินไปเจอกับพายุทอร์นาโด ซึ่งปล่อยน้ำจำนวนมากไหลวนเพื่อให้ เกิดเกลียวไหลลงมา
หลังจากอิ่มอร่อย เราก็เดินออกมานอกบริเวณห้าง เพื่อมาชมบรรยากาศและสูดอากาศภายนอก
เป็นข้ออ้างที่ทำให้ไม่เข้าไปในร้าน LV สาขานี้ ซึ่งอยู่บนน้ำ
แสงสีไม่แพ้ Victoria Bay ของฮ่องกงเลยก็ว่าได้
มีการยิงแสงเลเซอร์ประกอบเสียงเพลงกระหึ่ม พร้อมการแสดงประกอบดนตรีบนน้ำ
มีพลุไฟ และม่านน้ำพุ แสงสีต่างๆ
เป็นการเพิ่มอรรถรสการเดินชมบรรยากาศจริงๆ
เป็นการนำเสนอและจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจ
มีผู้คนมายืนชมกันพอสมควร
เวลาบอกใครว่า จะไปสิงค์โปร์ มักได้คำพูดกลับมาว่า "ไม่เห็นมีอะไร" แต่ผมว่า ประเทศนี้เขาปรับเปลี่ยนตลอดเวลา ไว้จะนำภาพมุมอื่นๆ ที่แปลกมาให้ชมในเอนทรีต่อๆ ไป อาจจะบอกว่า "มีแบบนี้ด้วยเหรอ?"
ได้มาชมสถาปัตยกรรม และการวางผังเมืองที่เยี่ยมยอด ก็รู้สึกคุ้มค่าเวลาแล้ว
ต้องบอกว่า แอบอิจฉาประเทศเล็กๆ นี้ด้วยซ้ำไป
ซึ่งทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้มากมาย
ซึ่งหลายครั้งที่มองดูเขา เพื่อมองดูตัวเรา และพื้นฐานที่สำคัญ คือ "ระเบียบวินัย" "ทำเพื่อส่วนรวม" และ "ไม่คอร์รัปชั่น" ที่น่าชื่นชม
ได้เวลากว่า 4 ทุ่ม ก็ลงรถไฟใต้ดิน ซึ่งมีสถานีที่อยู่ใต้ตึกของ Marina Bay Sands พอดี ทำให้สะดวกมาก เพื่อกลับมายังโรงแรมที่พัก เก็บแรงไว้เที่ยวในวันถัดไป